November 27, 2025

จากพระมหากรุณาธิคุณแห่งการฟื้นฟูผ้าไทยของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง สู่การร้อยเรียงเรื่องราวแฟชั่น 45 ปีของ ATELIER PICHITA ในนิทรรศการ The Golden Metamorphosis ที่ยกย่องทั้งราชสกุล หัตถศิลป์ และตำนานโอต์กูตูร์ไทย

เพื่อถวายพระเกียรติแด่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงฟื้นฟูหัตถกรรมผ้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับนานาชาติ และในวาระครบรอบ 45 ปี ของแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงระดับตำนานของไทย ATELIER PICHITA โดย พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ จึงเกิดเป็นบทบันทึกครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย การเดินทางผ่านผ้าไทยสู่ “การเกิดใหม่ของตำนาน” ภายใต้แนวคิด “The Golden Metamorphosis” ที่รวมเอาเรื่องราวของพระราชสกุล ศิลปหัตถกรรม และมรดกสามเจเนอเรชันมาไว้ในพื้นที่เดียวกันอย่างวิจิตรบรรจง

ภายในงาน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรการแสดงกาล่า พรีเซนเทชัน และนิทรรศการแสดงผลงานของห้องเสื้อพิจิตรา ภายใต้แนวคิด “The Golden Metamorphosis” ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท แอตเตอลิเยร์ พิจิตรา จำกัด เพื่อถวายพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปีของแบรนด์โอต์กูตูร์ระดับแนวหน้าของไทย บรรยากาศเปี่ยมไปด้วยความสง่างาม ทั้งในมิติของพระราชพิธี และในมิติของศิลปะแฟชั่นร่วมสมัยที่หยั่งรากลึกอยู่บนผืนผ้าไหมไทย

นิทรรศการ “The Golden Metamorphosis” ถูกออกแบบให้เป็นเสมือนการก้าวเดินเข้าไปในโลกส่วนตัวของดีไซเนอร์และตำนานแฟชั่นไทย ภายในพื้นที่จัดงานมีการจำลองมุมต่าง ๆ ทั้งในบ้านและห้องทำงานของพิจิตรา ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์จากหลากหลายประเทศที่เธอสะสมมาตลอดหลายสิบปี ชิ้นสวยแปลกตา เต็มไปด้วยคาแรกเตอร์ และสะท้อนรสนิยมที่ผสมผสานตะวันออกและตะวันตกอย่างลงตัว นิทรรศการจึงมิได้เป็นเพียงการโชว์เสื้อผ้า หากแต่เป็นการเปิด “คลังความทรงจำ” และเล่าเรื่องราวของ สามเจเนอเรชันแฟชั่น ผ่านวัตถุ สิ่งแวดล้อม และผลงานจริงที่เคยอยู่ร่วมกับชีวิตของดีไซเนอร์

เส้นทางของแบรนด์เริ่มต้นจาก อาจารย์ลำยงค์ บุณยรัตพันธุ์ ผู้ก่อตั้งห้องเสื้อและโรงเรียนสอนตัดเสื้อ “ระพี” ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสถาบันแฟชั่นยุคบุกเบิกของประเทศไทย ก่อนส่งต่อสู่ยุคทองของ พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ผู้สถาปนาชื่อ ATELIER PICHITA ให้เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามแบบปารีสที่กลมกลืนกับจิตวิญญาณแห่งศิลปะตะวันออก และวันนี้ แบรนด์เดินหน้าสู่บทต่อไปภายใต้การสานต่อของทายาทรุ่นที่สาม ฑาทิม รักษะจิตร ผู้เข้ามาเติมมุมมองของคนรุ่นใหม่ลงไปบนฐานรากที่มั่นคงของตำนาน

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของนิทรรศการ คือการอัญเชิญ ฉลองพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จำนวน 3 องค์ ซึ่งออกแบบและตัดเย็บโดยห้องเสื้อพิจิตรา มาจัดแสดงให้สาธารณชนได้ชมอย่างใกล้ชิด นับเป็นโอกาสอันหายากและทรงคุณค่าต่อประวัติศาสตร์แฟชั่นไทย ประกอบด้วย

  • ฉลองพระองค์ชุดกลางคืน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีดำ ตกแต่งแขนด้วยผ้าชาวเขาเผ่าเย้า ที่สะท้อนสายพระเนตรอันกว้างไกลในการหยิบยืมผืนผ้าของชนเผ่ามายกสู่บริบทโอต์กูตูร์ได้อย่างงดงาม
  • ฉลองพระองค์ชุดกลางวัน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมมัดหมี่ลายโคมห้า ซึ่งออกแบบและตัดเย็บโดยพิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ ถ่ายทอดความละเมียดละไมของลวดลายไทยที่กลายเป็นซิลูเอตร่วมสมัย
  • ฉลองพระองค์ชุดกลางวัน ตัดเย็บด้วยผ้าไหมมัดหมี่ ปักฉลุเป็นลายลูกไม้สานเชื่อมเป็นตะแกรง องค์ในตัดเย็บด้วยผ้าไหมมัดหมี่ ออกแบบและตัดเย็บโดยอาจารย์ลำยงค์ บุณยรัตพันธุ์ แห่งโรงเรียนสอนตัดเสื้อระพี ซึ่งเปรียบเสมือนรากฐานทางสุนทรียะและเทคนิคที่ส่งต่อมาสู่แบรนด์ในยุคปัจจุบัน

พร้อมกันนั้น ภายในงานยังจัดแสดง ฉลองพระองค์ในสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี อีก 3 องค์ ซึ่งออกแบบและตัดเย็บโดยพิจิตรา บุณยรัตพันธุ์เช่นกัน นำเสนอให้เห็นบทบาทของแบรนด์ในพระราชพิธีและโอกาสสำคัญระดับนานาชาติ ได้แก่

  • ฉลองพระองค์ ชุดไทยบรมพิมานสีน้ำเงิน เมื่อครั้งโดยเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปร่วมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และสมเด็จพระราชินีคามิลลา แห่งสหราชอาณาจักร ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ สหราชอาณาจักร
  • ฉลองพระองค์ ชุดไทยจักรีสีส้ม เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จออก ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ทรงรับ พลเอก เดวิด เฮอร์ลีย์ ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย และนางลินดา เฮอร์ลีย์ ภริยา
  • ฉลองพระองค์ ชุดไทยอมรินทร์สีน้ำตาล เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงร่วมงานถวายพระกระยาหารค่ำอย่างเป็นทางการ ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี และสมเด็จพระราชินีแห่งภูฏาน ทรงจัดถวาย ณ พระราชวังเดเชนโชลิง กรุงทิมพู ราชอาณาจักรภูฏาน

ฉลองพระองค์ทั้งหกองค์นี้ ไม่เพียงแต่สะท้อนพระสิริโฉมและพระอิสริยยศ หากยังเป็น “หลักฐานทางแฟชั่น” ที่บอกเล่าบทบาทของผ้าไหมไทยและช่างฝีมือไทยบนเวทีโลกอย่างทรงพลัง ผ่านภาษาของโครงร่าง รายละเอียด และเทคนิคชั้นสูงในแบบของ ATELIER PICHITA

ในฐานะดีไซเนอร์ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแรงบันดาลใจจากพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง พิจิตรา บุณยรัตพันธุ์ กล่าวถึงแก่นของคอลเลกชันที่เปรียบเสมือนบทสรุป 45 ปีของแบรนด์ ว่าเธอและ ATELIER PICHITA ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ทรงฟื้นฟูและเผยแพร่ผ้าไทยให้เปล่งประกายในระดับสากล การได้มีโอกาสถวายงานตัดเย็บฉลองพระองค์จากผ้าไทยที่ทรงพระราชทาน รวมถึงการได้ร่วมเป็นคณะกรรมการคัดเลือกผ้าไหมศิลปาชีพ ล้วนเป็นเกียรติสูงสุดในชีวิตการทำงาน และเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยึดมั่นในภารกิจการเชิดชูมรดกผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง

จากพื้นฐานความซาบซึ้งนี้ จึงเกิดเป็นคอลเลกชัน “The Golden Metamorphosis” ซึ่งพิจิตรามองว่าเป็นการเฉลิมฉลอง “ยุคทอง” ของผ้าไทยที่สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวงได้ทรงวางรากฐานไว้ให้ชาติไทย และในเวลาเดียวกัน ก็เป็น “ยุคทองบทใหม่” ของแบรนด์ ATELIER PICHITA เองด้วย แนวคิดเรื่อง “การเปลี่ยนผ่าน” ถูกตีความผ่านภาพของ “แมลงสีทอง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ความงดงาม และการแปรสภาพ (Metamorphosis) สู่ชีวิตใหม่

โครงร่างของคอลเลกชันจึงเป็นการหลอมรวมระหว่าง โครงสร้างแบบสถาปัตยกรรมที่เฉียบคม กับ ความอ่อนช้อยพลิ้วไหวแบบเฟมินีน ชุดหนึ่งอาจเผยให้เห็นไหล่และช่วงอกที่เสมือนรูปทรงสถาปัตยกรรม เรียบ เป๊ะ และคมชัด ขณะเดียวกันชายกระโปรงหรือเลเยอร์ผ้ากลับพลิ้วเบาเหมือนปีกที่กำลังกางรับลม สร้างเรื่องเล่าให้ผู้ชมเห็นภาพของ “ดักแด้กำลังคลี่ตัวออกสู่ชีวิตใหม่” บนรันเวย์

ภาษาของสีทองที่ปรากฏทั้งในองค์ประกอบหลักและรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดทั้งคอลเลกชัน จึงไม่ใช่เพียงการเลือกโทนสีที่หรูหรา หากแต่เป็นการประกาศการก้าวสู่ “ยุคทองแห่งความสำเร็จ” และ “อนาคตอันเจิดจรัส” ที่รออยู่ข้างหน้า ทั้งสำหรับผ้าไทยและสำหรับแบรนด์เอง พิจิตราอธิบายว่า คอลเลกชันนี้ไม่เพียงเป็นการหวนมองอดีต แต่คือก้าวที่กล้าหาญสู่อนาคต เป็น “การเกิดใหม่ของตำนาน” ที่ผสานศิลปะและแฟชั่นเข้าด้วยกันอย่างวิจิตร ในแบบที่ยังให้เกียรติอดีตพร้อมเปิดเส้นทางใหม่ที่สว่างกว่าเดิม

ในเชิงงานหัตถศิลป์ คอลเลกชันนี้คือบทพิสูจน์อีกครั้งว่าทำไม ATELIER PICHITA จึงเป็นหนึ่งในชื่อที่ถูกยกย่องเสมอเมื่อพูดถึงโอต์กูตูร์ไทย ผ้าไหมไทยที่เป็นหัวใจของแบรนด์ได้รับการตีความใหม่ผ่านมุมมองร่วมสมัย ทั้งการเลือกใช้ผ้าไหมพื้นเมืองในโครงร่างที่ล้ำสมัย งานปักทองที่ละเอียดประหนึ่งงานจิวเวลรี เทคนิคต่อผ้าหลายชั้นให้กลายเป็นมิติของแสงและเงาบนร่างกายผู้สวมใส่ ทุกฝีเข็มและทุกชั้นผ้าสะท้อนถึงภูมิปัญญาและความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือไทยที่แบรนด์ให้ความสำคัญมาโดยตลอด

หัวใจของ ATELIER PICHITA จึงไม่ใช่เพียงชื่อของดีไซเนอร์ หากคือ “ช่างฝีมือและผ้าไหมไทย” ที่อยู่เบื้องหลังทุกผลงาน พิจิตราเล่าว่า ทุกชุดในแฟชั่นโชว์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่คือ “เรื่องราวและจิตวิญญาณ” ที่ทีมงานบรรจงเย็บ กด รีด ปัก และประกอบขึ้นทีละชั้น เธออยากให้ผู้ชมได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า Wearable Art ไม่ใช่เพียงวลีสวยหรู หากคือความจริงที่จับต้องได้—คือมรดกทางวัฒนธรรมที่สามารถสวมใส่ เดิน เคลื่อนไหว และมีชีวิตร่วมกับมนุษย์ในทุกช่วงเวลา

เรื่องราวของสามเจเนอเรชันแฟชั่นนี้ยังถูกขยายความผ่านนิทรรศการ “45th Year Anniversary Exhibition” ซึ่งเปิดคลังสมบัติทางวัฒนธรรมของแบรนด์อย่างเต็มรูปแบบ ภายในงานจัดแสดงทั้งผลงานเก่าเก็บหาชมยาก ชุดโอต์กูตูร์จากยุคก่อน ๆ สมุดสเก็ตช์ที่พิจิตราเคยวาดไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นอาชีพ อุปกรณ์การตัดเย็บ และร่องรอยกระบวนการทำงานจริง ไปจนถึงเรื่องราวความร่วมมือกับช่างฝีมือท้องถิ่นจากหลายภูมิภาคของไทยที่ร่วมกันสร้างชิ้นงานซึ่งเปรียบดั่ง “ศิลปะสวมใส่ได้”

อีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของงานนี้ คือการเปิดตัวหนังสือ “PICHITA” ซึ่งทำหน้าที่เสมือนสารคดีภาพของแบรนด์ในรูปแบบเล่มเดียวจบ หนังสือเล่มนี้รวบรวมภาพผลงานและชุดต่าง ๆ ที่เคยถ่ายลงในนิตยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศตลอดระยะเวลากว่า 45 ปี บรรจุอยู่ในจำนวนหน้า 380 หน้า พิมพ์จำนวนจำกัดเพียง 1,000 เล่ม จำหน่ายในราคา 3,500 บาท รายได้ส่วนหนึ่งทูลเกล้าฯ ถวายโดยเสด็จพระราชกุศลสมทบทุนสภากาชาดไทย อีกส่วนหนึ่งใช้ในการมอบทุนการศึกษาให้แก่นิสิตนักศึกษาศิลปะในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดสรรหนังสือบางส่วนมอบให้แก่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจจากโลกแฟชั่นสู่การศึกษาไทยอย่างเป็นรูปธรรม

อย่างไรก็ตาม ในวาระแห่งการระลึกถึง 45 ปี ATELIER PICHITA ไม่ได้หยุดเพียงการหวนมองอดีต แต่ยังประกาศวิสัยทัศน์ของอนาคตที่ชัดเจนและท้าทายยิ่งขึ้น แบรนด์เตรียมขยายจากโลกของโอต์กูตูร์ไปสู่การออกแบบ ยูนิฟอร์มระดับไฮเอนด์สำหรับองค์กรชั้นนำ ทั้งในและต่างประเทศ นำความประณีตระดับห้องเสื้อชั้นสูงไปอยู่ในบริบทใหม่ของโลกธุรกิจร่วมสมัย สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพของหัตถศิลป์ไทยในการตอบโจทย์ยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

พิจิตรากล่าวทิ้งท้ายว่า “โลกของแฟชั่นไม่เคยหยุดนิ่ง และ ATELIER PICHITA ก็เช่นกัน วาระครบรอบ 45 ปี ของเราจึงไม่ใช่แค่การมองย้อนไปข้างหลัง หากคือการยืนยันว่าพวกเราพร้อมที่จะก้าวต่อไป นำความงามและความประณีตของโอต์กูตูร์ไปสู่บริบทใหม่ ๆ ที่ท้าทายกว่าเดิม” คำกล่าวนี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนว่าตำนานที่ชื่อ ATELIER PICHITA ยังถูกเขียนต่อไปบนหน้ากระดาษเล่มใหม่ เล่มที่เริ่มต้นจากรากเหง้าของผ้าไทย พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ และความมุ่งมั่นของผู้หญิงคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในพลังของหัตถศิลป์ไทย

นิทรรศการ “45th Year Anniversary Exhibition” เปิดให้สาธารณชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ ชั้น 1 เอ็มไลฟ์สไตล์ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 เพื่อให้ผู้สนใจในศิลปะ แฟชั่น และงานช่างเสื้อไทย ได้มีโอกาสสัมผัสเรื่องราว 45 ปีของแบรนด์อย่างใกล้ชิด และอาจได้แรงบันดาลใจสำหรับการเดินทางบนเส้นทางสร้างสรรค์ของตนเองในอนาคต

Share

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Search