Avatar: Fire and Ash มีกำหนดเข้าฉายอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม 2025 โดยภาคนี้จะพาเราก้าวข้ามความสำเร็จถล่มทลายของ The Way of Water ไปสู่เนื้อหาที่เข้มข้นและหม่นหมองยิ่งกว่าเดิม James Cameron (เจมส์ คาเมรอน) เปรยว่านี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะทิ้งความสวยงามแบบเดิมไว้เบื้องหลัง คนดูจะได้เห็นตัวละครที่ซับซ้อนและสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงของครอบครัวซัลลี และนี่คือ 5 เรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้ ก่อนหวนคืนสู่แพนดอร่าอีกครั้ง
1. We Are Meeting the “Ash People” (And They Aren’t Friendly)

ในสองภาคแรก ชาวนาวีที่เราได้รู้จักทั้งเผ่าโอมาติกายาที่อาศัยอยู่ในป่า และเผ่าเม็ทคายีนาที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล ถูกนำเสนอในฐานะวีรบุรุษผู้อยู่ร่วมกับ เอวา (Eywa) อย่างสงบสุขและปกป้องบ้านเกิดจากผู้รุกรานชาวโลก แต่ใน Fire and Ash ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ภาคนี้คุณจะได้รู้จัก Ash People จากเผ่ามังควันในบทบาทตัวร้ายที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเขตภูเขาไฟ เผ่านี้จะมีความก้าวร้าวและโหดร้าย โดยได้ อูนา แชปลิน (Game of Thrones) มารับบทเป็น วารัง (Varang) ผู้นำของเผ่า
2. The Title Heralds a Darker Tone

ชื่อ The Way of Water ของภาคสอง สื่อถึงจิตวิญญาณ ความสงบเงียบ และการปรับตัว แต่ในทางตรงกันข้าม ชื่อ Fire and Ash ของภาคสามนั้น สื่อถึงการแผดเผา การทำลายล้าง และสิ่งที่หลงเหลืออยู่หลังความพินาศ แม้ความสวยงามขององค์ประกอบศิลป์ยังอยู่ครบถ้วน ทว่าโทนสีได้ถูกสวิตช์จากสีฟ้าและสีเขียวที่เคยเย็นตา พาไปสู่สีแดง สีส้ม และสีเทาของเถ้าถ่าน ภาคนี้คนดูจะได้เห็นความขัดแย้งที่ไม่ใช่แค่การปะทะกันประปรายกับพวก RDA อีกต่อไป แต่เป็นสงครามเต็มรูปแบบที่จะทิ้งบาดแผลถาวรไว้บนแพนดอร่า
3. The Sully Family is Fractured and Grieving

เชื่อว่าคนดูคงไม่อาจมองข้ามตอนจบอันแสนเศร้าในภาค The Way of Water ครอบครัวซัลลีต้องสูญเสีย เนเทยัม (Neteyam) ลูกชายคนโตไปอย่างไม่มีวันกลับ ความสัมพันธ์ในครอบครัวจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เจค ซัลลี (Jake Sully) ไม่ใช่แค่ผู้นำสงครามที่กล้าหาญอีกต่อไป แต่เขาคือพ่อที่กำลังโศกเศร้า เขาต้องแบกรับความล้มเหลวและรู้สึกผิด ส่วน เนย์ทีรี (Neytiri) ก็น่าจะถูกครอบงำด้วยความโกรธแค้นรุนแรง นอกจากนี้ เจมส์ คาเมรอน ยังบอกเป็นนัยว่าลูกชายคนที่สอง โลอัค (Lo’ak) จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในภาคนี้แทนเจค เราจะได้เห็นความเห็นต่างระหว่างคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าที่ต้องการปกป้องเผ่าพันธุ์และต่อสู้เพื่อความถูกต้องให้แก่ชาวนาวี
4. The “Spider Secret” is a Ticking Time Bomb

หนึ่งในจุดหักมุมที่ถกเถียงกันมากที่สุดใน The Way of Water คือการตัดสินใจของ สไปเดอร์ (Spider) มนุษย์เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับลูกๆ ของซัลลี ในช่วงสุดท้ายเขาได้ช่วยชีวิต ควอริตช์ (Quaritch) พ่อแท้ๆ และศัตรูคู่อาฆาตของครอบครัวไว้ ก่อนจะกลับไปหาพวกซัลลี ซึ่งครอบครัวซัลลีเชื่อว่าสไปเดอร์ตัดขาดกับควอริตช์แล้ว แต่ความลับนี้ไม่มีทางถูกฝังไว้ได้ตลอดกาล
5. Quaritch Has Evolved

ไมล์ส ควอริตช์ (Miles Quaritch) ไม่ใช่ทหารรับจ้างมนุษย์หน้าเลือดที่จิบกาแฟไปพลางรบไปพลางเหมือนภาคแรกอีกต่อไป หลังจากตายและเกิดใหม่ในร่าง “รีคอมบิแนนท์” (ร่างอวตารที่มีความทรงจำของมนุษย์) เขาใช้เวลาตลอดภาคสองในการปรับตัว ควอริตช์เรียนรู้ที่จะขี่อิกราน พูดภาษาชาวนาวี และใช้สิ่งแวดล้อมของแพนดอร่าให้เป็นประโยชน์ แม้เขาจะถูกเจคสยบลงได้ แต่เขาก็เริ่มเผยสัญชาตญาณความเป็นพ่อที่มีต่อสไปเดอร์ ควอริตช์จึงเป็นตัวร้ายที่อันตรายกว่าเดิมหลายเท่า ในภาคนี้คนดูจะได้พบกับควอริตช์ที่ฉลาดขึ้น มีชั้นเชิงมากขึ้น และอาจจะมีความขัดแย้งในใจมากขึ้น เขาไม่ได้สู้เพื่อเงินเดือนจาก RDA อีกต่อไป แต่นี่กลายเป็นความแค้นส่วนตัวที่มีดาวทั้งดวงเป็นเดิมพัน



