“…เปิดตัวไปแล้วสำหรับ ‘Legendary Legacy’ นิทรรศการสุดยิ่งใหญ่โดย Tiffany & Co. ที่ได้รวบรวมผลงานชิ้นประวัติศาสตร์ของแบรนด์ร่วมกว่า 50 ชิ้น มาจัดแสดงที่ชั้น 47 Tower 4 One Bangkok ซึ่งไฮไลต์สำคัญสำหรับครั้งนี้คือการนำ Tiffany Diamond เพชร Fancy Yellow Diamond น้ำหนักกว่า 128.54 กะรัต มาจัดแสดงให้ชมอย่างใกล้ชิด นิทรรศการครั้งนี้ได้รวบรวมจิวเวลรีชิ้นสำคัญที่ออกแบบภายใต้วิสัยทัศน์ของ Jean Schlumberger นับตั้งแต่ที่เขาได้เริ่มสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เปี่ยมด้วยความชวนฝัน ก่อนจะมาร่วมงานกับ Tiffany & Co. ในปี 1956 โดยแบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 5 ห้องตามธีมที่แตกต่างกันไป…”

ในงาน Press Conference ซึ่งจัดขึ้นก่อนการเปิดตัวนิทรรศการ Anthony Ledru ผู้ดำรงตำแหน่ง President and Chief Executive officer of Tiffany & Co. และ Christopher Young ผู้ดำรงตำแหน่ง Vice President & Creative Director, Tiffany Patrimony and Global Creative Visual Merchandising ได้พูดถึงความพิเศษของนิทรรศการครั้งนี้ โดยคริสโตเฟอร์ได้เล่าให้ทุกคนฟังถึงความน่าตื่นเต้นในการชมเครื่องประดับชิ้นมรดกผ่านห้องจัดแสดงที่ได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันทั้งห้าห้อง

Christopher: “เราเริ่มต้นเรื่องราวที่เกาะกวาเดอลูป เกาะแห่งแรงบันดาลใจ ในห้องนี้จะได้เห็นร่องรอยมรดกที่เชื่อมโยงกับ Schiaparelli ดีไซเนอร์ที่ชลัมเบร์เชร์เคยร่วมงานด้วยในปารีส และวงจรของเหล่านักสร้างสรรค์ ทั้งผู้กำกับภาพยนตร์และศิลปินที่ ฌอง ชลัมเบร์เชร์ นั้นสนิทสนมในช่วงทศวรรษ 1930 เขายังได้ออกแบบ เข็มกลัด Trophée de Valliance ให้เพื่อนสนิทอย่าง Diana Vreeland ชิ้นงานนี้ถือเป็นหนึ่งในผลงานสำคัญซึ่งจัดแสดงอยู่ในการจัดแสดงครั้งนี้ เป็นหนึ่งในอัญมณีที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เขาสร้างขึ้น ณ สตูดิโอของเขา และเป็นชิ้นแรกของนิทรรศการที่เราจะได้พบ”

“จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังห้อง Garden of Imagination ซึ่งเป็นธีมโปรดที่เรามักหวนนำกลับมาใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า ภายในธีมนี้ เราพูดถึงความสัมพันธ์กับลูกค้าคนสำคัญอย่าง คุณ Bunny Mellon ที่ยากจะหาใครมาเทียบเคียงได้ สวน Oak Spring ของเธอเป็นแหล่งแรงบันดาลใจที่สำคัญ ทั้งต่อ Mellon เอง และ Schlumberger ด้วยสวนอันน่าอัศจรรย์และความชื่นชมในความงามของธรรมชาติ อาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้หรือสวน Oak Spring ที่ทำให้เกิดการออกแบบ Bird on a Rock ชิ้นแรกขึ้น และ Bunny Mellon เป็นคนที่ซื้อเข็มกลัดชิ้นแรกในปี 1965 เธอกับชลัมเบร์เชร์ใช้เวลาร่วมกันมากมาย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันสะท้อนถึงความสร้างสรรค์ที่มีร่วมกันระหว่างลูกค้าของทิฟฟานี่และอัจฉริยะด้านการออกแบบของเรา”

“ในห้องถัดมาคือ Depths of Beauty โลกแฟนตาซีใต้ท้องทะเล แน่นอนว่าชลัมเบร์เชร์ไม่ได้ถ่ายทอดมันแบบตรงไปตรงมาเหมือนคนอื่นๆ แต่เขาได้ตีความมันออกมาในรูปแบบที่หนือจริงราวกับอยู่ในโลกแห่งความฝัน ม้าน้ำหรือหนามของเม่นทะเลได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเข็มกลัดและสร้อยคอ ครั้งนี้เรายังได้เห็นชิ้นงานอันตระการตาอย่างสร้อยคอ Hedges and Flowers ซึ่ง Nathalie Verdeille ได้หยิบยกองค์ประกอบของมันมาตีความใหม่ เพื่อถ่ายทอดผ่านงานดีไซน์ชิ้นใหม่ที่มีความร่วมสมัยเพื่อให้สอดคล้องกับลูกค้าในปัจจุบันอีกด้วย”

“เราเคลื่อนจากใต้น้ำมาสู่ท้องฟ้าในห้อง Wings: Symbols of the Soul ภายในห้องนี้เราได้พบกับปีกนานาชนิด ตั้งแต่ผีเสื้อเรื่อยไปจนถึงนก หนึ่งในผลงานโปรดของผมคือเข็มกลัด Big Bird ซึ่งออกแบบครั้งแรกในปี 1941 และถูกค้นพบอีกครั้งเมื่อปี 1985 โดย Andy Warhol และ Joan Quinn ซึ่งกรุณาให้ยืมชิ้นงานนี้มาแสดงในโอกาสพิเศษครั้งนี้ นี่คือผลงานที่ท่านจะไม่มีโอกาสได้เห็นอีก เป็นการจัดแสดงเพียงครั้งเดียวในชีวิตสำหรับนิทรรศการที่กรุงเทพฯ ห้องนี้จึงเปี่ยมด้วยมนตร์เสน่ห์มากมายให้ค้นพบ”

“ห้องสุดท้าย ก็คือ The Heart of Tiffany นำเสนออัญมณีอันเป็นเอกลักษณ์และตำนานที่สืบต่อกันมา…หากย้อนนึกถึงอดีตหนึ่งในโปรเจกต์แรกๆที่ ฌอง ชลัมเบร์เชร์ ได้รับมอบหมายนั่นคือการออกแบบตัวเรือนใหม่ให้กับ Tiffany Diamond ซึ่งถือเป็นความท้าทายด้านการออกแบบที่แทบจะคิดไม่ถึงสำหรับนักออกแบบหน้าใหม่ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่เมซงอื่นๆจะทำกับเพชรประวัติศาสตร์เม็ดสำคัญเช่นนี้ เขาเลือกที่จะนำเสนอมันด้วยความแฟนตาซี ผ่านสร้อยคอดีไซน์แบบอสมมาตร Ribbons Rosette เริ่มแรกมันถูกสร้างสรรค์ขึ้นเป็นเข็มกลัด ก่อนที่จะได้รับการตีความใหม่ให้กลายเป็นสร้อยคอ และแน่นอนว่า Audrey Hepburn ได้สวมใส่เพื่อโปรโมตภาพยนตร์ ‘Breakfast at Tiffany’s’ สร้อยคอเส้นนี้ยังปรากฏในภาพยนตร์อีกด้วย ผมเชื่อว่าสิ่งที่เชื่อมโยงกันตลอดกาลระหว่างความคิดสร้างสรรค์ของฌอง ชลัมเบร์เชร์ และ Tiffany Diamond โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าในปี 1995 เพชรเม็ดนี้ได้รับการฝังลงบนตัวเรือนของ Bird on a Rock”

“ยังมีสิ่งที่ผมยังไม่ได้เอ่ยถึง Joan Quinn ไม่เพียงเห็นว่านิทรรศการครั้งนี้มีความสำคัญเธอยินดีให้ยืมเครื่องประดับในคอลเลกชันส่วนตัว เธอยังมาดูนิทรรศการนี้ด้วยตนเองเพราะอยากพบเจอกับผู้คนและสัมผัสประสบการณ์นี้ด้วย หลายคนได้รวมใจกันในโปรเจกต์นี้ ทุกคนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะมอบความพิเศษให้กับนิทรรศการในกรุงเทพมหานครครับ”

Anthony Ledru President and Chief Executive officer of Tiffany & Co. ได้พูดถึงความสำคัญของ Tiffany Diamond ด้วยเช่นกัน “นี่เป็นครั้งแรกที่ Tiffany Diamond ได้ถูกนำมาจัดแสดงในกรุงเทพฯ และอาจเป็นครั้งสุดท้าย เพราะกว่าสองศตวรรษที่เพชรล้ำค่านี้ถือกำเนิดขึ้น เราได้ครอบครองมาเพียงร้อยปีเท่านั้น คุณกล่าวว่านี่คือหัวใจของทิฟฟานี่ และผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง หากต้องเลือกเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาสัญลักษณ์สูงสุดของโลกอัญมณี ก็คงไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่า Tiffany Diamond โดยเฉพาะวิธีการที่มันถูกฝังประดับลงในตัวเรือนอันวิจิตร นี่คือสิ่งทีทิฟฟานี่ยืนหยัดมาตั้งแต่วันแรกของการก่อตั้ง เมื่อครั้งผู้ก่อตั้งได้ตัดสินใจเดิมพันครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ด้วยการทุ่มซื้อเพชรดิบสีเหลืองขนาดมหึมา หนึ่งในเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานั้น พร้อมคำมั่นว่าจะไม่มีวันถูกขาย การที่เพชรเม็ดนี้ไม่เคยเปลี่ยนมือเลยตั้งแต่วันแรก ได้กลายเป็นตำนานที่สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน เพชรถูกส่งไปเจียระไนที่ปารีส กลายเป็นอัญมณี 128.54 กะรัต”

“และอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ยังคงตราตรึงอยู่ในประวัติศาสตร์ คือการปรับโฉมบูติกบนถนน Fifth Avenue ในปี 1957 นั่นคือการเดิมพันครั้งสำคัญของแบรนด์ เพราะย้อนกลับไปในทศวรรษ 1940 พวกเขาได้ตัดสินใจซื้ออาคารแห่งนั้น ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นบูติกหรูที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก และจนถึงวันนี้ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิ การวางตำแหน่งแบรนด์ และยอดขายระดับสูงสุด สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า เมื่อคุณมีศรัทธาก็ย่อมไม่มีขีดจำกัดใดๆทั้งสิ้น นี่คือทุกสิ่งที่เราหลงใหล วัฒนธรรมแห่งความเป็นเลิศ ความเชื่อมั่น และพลังแห่งความหวัง เพราะพวกเขาจำเป็นต้องศรัทธาอย่างแท้จริงเมื่อครั้งเดิมพันในวันนั้น
และวิธีที่เพชรถูกนำเสนอในวันนี้ ก็สอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับเจตจำนงนั้น ไม่เพียงแต่เป็นนิทรรศการครั้งแรกในประเทศไทย หากยังเป็นครั้งแรกที่ ฌอง ชลัมเบร์เชร์ ได้รับการอุทิศพื้นที่จัดแสดงอย่างเต็มรูปแบบ 100% โดยเฉพาะ ปีที่แล้วที่โตเกียว แม้นิทรรศการจะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ส่วนจัดแสดงของชลัมเบร์เชร์ไม่ได้ลึกซึ้งเท่าครั้งนี้ สำหรับนิทรรศการในกรุงเทพฯ เรามุ่งมั่นอย่างยิ่งเพื่อสร้างบทสนทนาระหว่างพลังแห่งการออกแบบและศิลปะอันทรงคุณค่า และแม้นิทรรศการครั้งนี้จะปิดฉากลงในไม่ช้า แต่มันก็คือการเริ่มต้นของอีกบทใหม่ บทสนทนาเชิงร่วมสมัยของสิ่งที่เคยถูกสร้างสรรค์ไว้ในอดีต เพื่อสืบต่อแรงบันดาลใจไปสู่อนาคต”

128.54 Carats


128.54 Carats
Christopher: “เราต้องการให้ผู้ชมเฝ้าฝันถึงสีฟ้าทิฟฟานี่ ผมคิดถึงประโยคหนึ่งในภาษาฝรั่งเศสที่ว่า หากอยากมีความสุข คุณไม่จำเป็นต้องมองชีวิตเพียงมุมเล็กๆของโลก แต่เราต้องการให้พวกเขามองชีวิตในโทนสีเทอร์ควอยซ์ มุมมองที่แตกต่างออกไปนั่นคือสิ่งที่เราต้องการให้เกิดขึ้น การได้ฝัน ได้รับแรงบันดาลใจ และมองเห็นความแตกต่างในแบบที่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อใครมาก่อน และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่พวกเขาได้สัมผัสช่วงเวลาแห่งความทรงจำ นั่นคือสิ่งที่เราสร้างสรรค์ขึ้นและผมคิดว่ามันคือสิ่งที่ผู้ชมควรจะได้ติดตัวกลับไปหลังจากก้าวออกจากนิทรรศการนี้”

Anthony: “ในงานครั้งนี้ เราทุ่มเทความพยายามอย่างมากในนิทรรศการ ไม่เพียงแค่เครื่องประดับที่จัดแสดง แต่ยังรวมถึงผู้หญิงที่ได้ครอบครองและอยู่เบื้องหลังจิวเวลรีแต่ละชิ้น ผมเชื่อว่าสิ่งสำคัญคือเมื่อผู้ชมเดินออกไปจากนิทรรศการพวกเขาจะเข้าใจว่าเบื้องหลังความเป็นไปได้นี้มีผู้คนมากมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้สวมใส่อัญมณีอันงดงามเหล่านี้ และแรงบันดาลใจที่พวกเขาได้ส่งต่อไปสู่ผลงานออกแบบที่เราได้เห็น และในวันนี้เองลูกค้าของเรายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับงานไฮจิวเวลรี่ของทิฟฟานี่อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับผมนิทรรศการครั้งนี้จึงว่าด้วยแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่คุณจะไม่มีวันได้พบเจอที่ไหนในโลกอีกเลย”

นิทรรศการ Legendary Legacy เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชมแล้ว สามารถทะเบียนได้ทางexhibition.tiffany.comและLINE Official ของ Tiffany & Co.เพื่อเข้าชมฟรีนับตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค.นี้จนถึง 7 ก.ย. 2568 ณ ชั้น 47 Tower 4 One Bangkok