December 21, 2025

เมื่อ Chanel เลือกพานานาชาติแฟชั่นลงสู่พื้นโลกใต้ดินของมหานครนิวยอร์ก แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้น คำถามที่ตามมาทันทีคือ เพราะเหตุใดแฟชั่นเฮาส์ที่มีภาพจำหรูหราราวโลกเหนือความจริงจึงกลับมาเผชิญชีวิตจริงอย่างตั้งใจขนาดนี้? มานิตมณีพันธกุลรายงาน 

คำตอบอาจปรากฏขึ้นในวินาทีที่รถไฟแล่นเข้าสู่ Bowery Station สถานีร้างที่ Chanel เปลี่ยนให้กลายเป็นฉากละครร่วมสมัยสำหรับการเปิดตัวคอลเล็กชัน Métiers d’Art ภายใต้การออกแบบครั้งแรกของ Matthieu Blazy ดีไซเนอร์ที่กำลังได้รับคำชื่นชมอย่างท่วมท้นและกำลังกำหนดเส้นทางใหม่ของแบรนด์ในยุคหลัง Karl Lagerfeld และ Virginie Viard

Between Grit and Glamour: เมืองใต้ดินที่กลายเป็นพื้นที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งของปี

การใช้สถานีรถไฟร้างไม่ใช่เพียงความพยายามสร้างฉากแปลกใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนเลนส์การมอง Chanel ใหม่ทั้งหมด แสงนีออนตกกระทบผนังคอนกรีตที่เพิ่งทาสีใหม่ เสียงรถไฟที่ดังสะท้อนเป็นจังหวะ และกลุ่มผู้ชมในแจ็กเก็ตทวีดสีพาสเทลและกระเป๋าไข่มุกขนาดใหญ่ที่ยืนลังเลอยู่ตรงประตูหมุน ทุกองค์ประกอบสร้างภาพความตลกร้ายที่งดงาม และสะท้อนระยะห่างระหว่าง “ชีวิตจริง” กับ “แฟชั่นระดับสูง” ได้อย่างเฉียบคม Kristen Stewart ซึ่งร่วมงานกับ Chanel มาตั้งแต่ปี 2013 กล่าวหลังชมโชว์ว่า “It feels cinematic… incredibly encouraging and embodied.” และด้วยสายตาของเธอ เราได้เห็นความจริงอีกชั้นหนึ่ง: Chanel กำลังเดินออกจากความไกลเกินเอื้อม มุ่งสู่พื้นที่ที่ผู้หญิงสามารถพบตัวเองได้ในดีไซน์ของแบรนด์

The Blazy Effect: เมื่อแฟชั่นระดับสูงกลับสู่พื้นที่ที่ผู้หญิงใช้ชีวิตจริง

Matthieu Blazy นำพลังที่เขาสั่งสมจากประสบการณ์ในนิวยอร์ก ตั้งแต่สมัยทำงานกับ Calvin Klein ใต้การดูแลของ Raf Simons กลับคืนสู่เวทีของแฟชั่นชั้นสูง บทสนทนาระหว่างเขากับเมืองนี้ชัดเจนมากในทุกลุคบนรันเวย์ เขาสร้าง Chanel ที่ไม่ปิดบังความซับซ้อนของชีวิตประจำวัน แต่โอบรับมันด้วย 

  • แจ็กเก็ตทวีดสวมทับเสื้อยืด
  • กระโปรงขนนกที่เบาและเคลื่อนไหวอย่างสวยงามแต่ไม่โอ้อวด
  • หมวกทรงขี้เล่นแบบนิวยอร์กเกอร์
  • กระเป๋า flap ที่ติดดีไซน์รูปหัวและขา “ยีราฟ” ประหนึ่งงานประติมากรรมขนาดย่อส่วน

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ Blazy สร้าง Chanel ที่ทั้งเฉียบคม ละเอียดอ่อน และมีอารมณ์ขันในแบบที่ ไม่ใช่มีมแต่คือความเป็นมนุษย์

Couture in Motion: การเคลื่อนไหวที่รื้อฟื้นความเจิดจรัสยุค 1920s

จุดเด่นที่สุดของโชว์คือความเบาของวัสดุและการเคลื่อนไหวที่พริ้วอย่างจับใจ เสื้อบางเบาสะท้อนละอองแสงทรง flapper และกระโปรงขนนกที่สะท้อนแสงราวกำลังเคลื่อนไหวไปพร้อมกับเสียงรถไฟ คือการตีความยุคอาร์ตเดโคในแบบที่ Coco Chanel และ Jean Patou ตั้งใจให้ “แสงและการเคลื่อนไหว” กลายเป็นเสน่ห์สูงสุดของผู้หญิง ตรงกันกับในบริบทของ Métiers d’Art ซึ่งตั้งใจยกย่องทักษะเชิงช่างหายากของเลอซาจ มิเชล เลอมาริเอ มาซซาโร และอีกหลายอเตอลิเยร์ภายใต้ Paraffection ซึ่ง Blazy ทำให้ทุกฝีเข็มดูมีน้ำหนักเชิงศิลปะที่ร่วมสมัยอย่างน่าประทับใจ

A Study of New York Realism: ท่าทางที่เล่าเรื่องได้มากกว่าเสื้อผ้า

ความน่าสนใจไม่ได้อยู่เพียงในเสื้อผ้า แต่ในวิธีที่นางแบบ “อาศัยพื้นที่” แบบคนเมืองจริง เดินสวนกันเร็วเกินกว่ารันเวย์จะยอมรับ การหยุดนิ่งในท่วงท่าที่เต็มไปด้วยความเบื่อหน่ายแบบคนรอรถไฟ การถือแจ็กเก็ตไว้บนแขนเหมือนต้องรีบวิ่งไปให้ทันขบวนถัดไป ทั้งหมดนี้ทำให้โชว์ดูเหมือนการศึกษาเชิงปรากฏการณ์แบบ “fashion anthropology” ว่าผู้คนจะใช้ Chanel อย่างไรในชีวิตประจำวัน หากแฟชั่นไม่ได้สูงส่งเกินกว่าการแตะต้อง

The New Chanel Woman: มีภาระมีความฝันและมีสิทธิ์สวยเพื่อตัวเอง

สิ่งที่ชัดเจนที่สุดจากคอลเล็กชันนี้คือบทใหม่ของ “หญิงสาว Chanel” ผู้หญิงที่ต้องแบกของหนักทั้งวัน ต้องทำงานหลายบทบาท ต้องรับผิดชอบทั้งตัวเองและผู้คนรอบข้าง แต่ยังหาพื้นที่เล็ก ๆ ของการดูแลตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแจ็กเก็ตที่สวมแล้วรู้สึกมั่นใจ หรือกระเป๋าใบโปรดที่ทำให้ยิ้มออกระหว่างวัน ย้ำชัดด้วยคำพูดของผู้ชมทั้งหลายว่า “Look good, feel good.” คำพูดง่าย ๆ แต่เป็นแก่นแท้ของความตั้งใจของ Blazy ว่าแฟชั่นควร “ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น” ไม่ใช่เพียงทำให้สวยขึ้น

Returning to New York: บทใหม่ที่เชื่อมอดีตปัจจุบันและอนาคตของ Chanel

การกลับมานิวยอร์กครั้งนี้มีความหมายทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อครั้งสุดท้ายที่ Chanel จัด Métiers d’Art ในเมืองนี้คือปี 2018 กับโชว์ “Paris–New York” ซึ่งเป็นโชว์สุดท้ายที่ Karl Lagerfeld กำกับก่อนเสียชีวิต Bruno Pavlovsky กล่าวอย่างชัดเจนว่า “Matthieu Blazy knows this city well… Following him to New York will be full of surprises for everyone.” โชว์ครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการหวนคืน แต่คือการเปิดบทใหม่ของ Chanel ในเมืองที่สะท้อนทั้งพลังสร้างสรรค์ ความเป็นไปได้ไม่รู้จบ และความจริงของชีวิตผู้คนมากกว่าเมืองใดในโลก

Conclusion: Chanel ในมือของ Blazy คือบทใหม่ที่มีชีวิตจริงเป็นแรงบันดาลใจ

คอลเล็กชัน Métiers d’Art ใน Bowery Station ทำให้โลกเห็น Chanel ที่ไม่เพียงเฉลิมฉลองงานฝีมือ แต่เฉลิมฉลอง “ผู้หญิงยุคปัจจุบัน” ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเข้มแข็งและงดงามในเวลาเดียวกัน นี่คือ Chanel ที่จับต้องได้ ที่มีความหมาย และที่สะท้อนความเป็นมนุษย์มากกว่าที่เคยเป็น ผู้หญิงอาจจะต้องรอรถไฟ แบกของหนัก หรือวิ่งไล่ตามชีวิตในแต่ละวัน แต่ในโลกของ Matthieu Blazy เธอจะยังดูดี รู้สึกดี และเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้

Share

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Search