December 25, 2025

ปี 2025 คือปีที่แฟชั่นไม่ได้แข่งกันแค่ “ใครสวยกว่า” แต่แข่งกันว่า ใครอยู่รอดกว่า อยู่รอดในโลกที่ภาษีแกว่ง, ผู้บริโภคคิดเยอะขึ้น, และแบรนด์ใหญ่เปลี่ยนดีไซเนอร์รัว ๆ จนคนดูรันเวย์ยังต้องขอพักสายตา

มานิต มณีพันธกุล รายงาน

1. Trump Tariffs: ภาษีที่ทำให้แฟชั่น “ต้องคิดเรื่องราคาใหม่ทั้งระบบ”

    ข่าวการขึ้นภาษีและแรงสั่นสะเทือนของนโยบายการค้าในปี 2025 ของประธานาธิบดีทรัมป์ทำให้แบรนด์แฟชั่นโดยเฉพาะฝั่ง apparel/footwear ต้องกลับไปคุยกันเรื่อง ซัพพลายเชน, แหล่งผลิต, ต้นทุน และ price architecture แบบจริงจัง มีรายงานออกมาอย่างต่อเนื่องว่าแรงกดดันต่ออุตสาหกรรมจากมาตรการภาษีหลายระลอก และหลายสื่อดัง ก็สรุปสถานะ “tariffs now” ว่าเป็นความกังวลหลักของธุรกิจแฟชั่นในปีนี้ ตัวอย่างที่เห็นชัดจาก BoF ที่รายงานว่า Shein และ Temu แจ้งลูกค้าเรื่องการปรับราคา (เริ่มช่วงปลายเมษายน) ภายใต้แรงกดดันภาษี/กติกาการนำเข้า และต่อมามีรายงานยอดขายตกในสหรัฐฯ หลังแรงกระแทกจากภาษี  นี่คือตัวอย่างของปีนี้คือบทเรียนที่ว่า “ถูก” ไม่ได้ถูกตลอดไป ถ้ากติกาเปลี่ยน

    2. Prada Group ตกลงซื้อ Versace จาก Capri Holdings มูลค่า €1.25 พันล้าน 

    ดีลนี้สำคัญตรงที่มันทำให้อุตสาหกรรมเห็นว่า อิตาลีไม่ได้จะเล่นเกมเดิม อีกต่อไป แต่ต้องมีสเกล มีพอร์ต และมีโครงสร้างสู้สงครามโลกแฟชั่นยุคใหม่ ดีลเด็ดที่ว่านี้ Completed แล้ว แต่งานจริงเพิ่งเริ่ม ปลายปี 2025 มีรายงานว่า การซื้อกิจการปิดดีลเรียบร้อย และ “งานหนัก” คือการทำให้ Versace กลับมาแข็งแรงภายใต้ Prada พูดง่าย ๆ เซ็นสัญญาใช้ปากกา แต่ฟื้นแบรนด์ใช้เวลา (และใช้คนให้ถูก) โดยเฉพาะหลังผลงานเปิดตัวแรกและงานเดียวจาก Dario Vitale คนดูแฟชั่นจับตา “ตัวตนจะเปลี่ยนแค่ไหน” หลังดีลใหญ่ สิ่งที่วงการจับตาคือ Versace จะถูกปรับให้ นิ่งขึ้น/คมขึ้น/หรูขึ้น หรือยังคงพลัง “glamour & sex appeal” แบบเดิม และหลายฝ่ายก็ชี้ชัดว่าโจทย์คือ ทำให้แบรนด์กลับมามีแรงส่งเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้คงต้องรอดีไซเนอร์คนใหม่ที่มีข่าวว่า จะไปตกที่ Pieter Mulier อดีตมือขวาของ Raf Simons ที่ตอนนี้ประจำอยู่ที่ Alaia

    3. Anna Wintour: The Soft Step Back

    ข่าวใหญ่ที่วงการนิตยสารแฟชั่นโลกให้ความสนใจก็คือ รายงานข่าวที่ว่า Anna Wintour ก้าวลงจากตำแหน่งบรรณาธิการบริหาร Vogue US แต่ยังคงดูแล Vogue ในระดับโลก การถอยจากการกำกับรายวันของ American Vogue และให้มีบทบาท “Head of Editorial Content” เพื่อคุมทิศทาง US edition นี่คือการเปลี่ยนยุคจาก one-person era ไปสู่โครงสร้างการบริหารเนื้อหาที่เป็นระบบมากขึ้น โดยหลังจากประกาศหาแคนดิเดตมาร่วมงานในตำแหน่งนี้ ในที่สุดก็ได้ New Blood at Vogue ชื่อของ  Chloe Malle ก้าวขึ้นมาเป็น Head of Editorial Content ของ American Vogue ตามด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการว่า Chloe Malle จะเป็น Head of Editorial Content คนใหม่ของ US title และรับบทนำทั้งนิตยสารและดิจิทัล เป็นสัญญาณชัดว่า “อนาคตของ Vogue” ถูกผูกกับการบริหาร multi-platform แบบจริงจัง ไม่ใช่แค่เล่มพิมพ์ มารอดูกันว่าหลังจากปกสุดท้ายอันฮือฮาจากภาพ Timothee ไปสุ่จักรวาลแล้ว ภาพใหม่ของ Vogue ในทุกแพลตฟอร์มจะเป็นไปในทิศทางใด

    4. AI in Fashion Is No Longer Optional: ปีที่ AI เปลี่ยนจาก “ของเล่น” เป็น “กลไกการขาย”

    สรุปกันตรงนี้ได้เลยว่า 2025 คือปีที่แฟชั่นเทคถูกขับเคลื่อนโดย AI แบบ ROI-driven ตั้งแต่ AI search, AI commerce ไปจนถึง virtual try-on และ creator storefront แบรนด์ต้องคิดใหม่เรื่อง discovery และ conversion เพราะ “ช่องทางค้นหา” กำลังเปลี่ยนจาก SEO ไปสู่การค้นหาผ่าน AI. โดยมีกรณีศึกษาอย่าง เมื่อครั้ง AI ลงมือทำภาพจริง โดย Zara ใช้ AI-generated imagery แบบอิงโมเดลจริง ซึ่ง Reuters รายงานว่า Zara (Inditex) ใช้ AI เพื่อสร้างภาพแฟชั่นโดยอาศัยโมเดลจริงเป็นฐาน พร้อมย้ำประเด็นเรื่อง consent และค่าจ้าง นี่คือจุดที่อุตสาหกรรมเริ่มต้องถก “จริยธรรมของภาพ” และผลกระทบต่อคนทำงานสายโปรดักชันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    Balenciaga SS26
    5. The Great Creative Reset ทำไมปี 2025 จึงกลายเป็นปีแห่งการเปลี่ยนดีไซเนอร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์แฟชั่นร่วมสมัย

    หากมองผิวเผิน ปี 2025 อาจถูกจดจำในฐานะ “ปีที่ดีไซเนอร์ย้ายงานกันวุ่นวาย” แต่หากมองให้ลึกลงไป นี่คือปีที่อุตสาหกรรมแฟชั่นทั้งระบบ จำเป็นต้องรีเซ็ตตัวเอง การเปลี่ยนครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ในปีนี้ ไม่ได้เกิดจากความเบื่อหน่ายเชิงสุนทรียะ แต่เกิดจากแรงกดดันพร้อมกันสามด้าน เศรษฐกิจโลก, โครงสร้างธุรกิจลักชัวรี, และความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค

    จาก “ยุคดีไซเนอร์เป็นซูเปอร์สตาร์” สู่ “ยุคดีไซเนอร์คือผู้บริหารภาพลักษณ์” ตลอดทศวรรษ 2010 แฟชั่นถูกขับเคลื่อนด้วยบุคลิกอย่าง Alexander McQueen, Karl Lagerfeld, Phoebe Philo, Virgil Abloh, Demna ดีไซเนอร์คือภาพจำ คือเรื่องเล่า คือแรงดึงดูดของแบรนด์ แต่ในปี 2025 โมเดลนี้เริ่ม ไม่พออีกต่อไป ตลาดลักชัวรีชะลอตัว ต้นทุนสูงขึ้น ผู้บริโภคตั้งคำถามมากขึ้น และสื่อโซเชียลไม่สามารถรับประกันยอดขายได้เหมือนเดิม แบรนด์จึงไม่ได้มองหาคนที่ “ทำโชว์ได้แรง” แต่ต้องการคนที่ คุมทั้งภาษาแบรนด์ สินค้า และความต่อเนื่องเชิงธุรกิจ

    Gucci SS26

    Kering: เดิมพันสุดขั้วเพื่อรีเซ็ตอำนาจวัฒนธรรม

    การแต่งตั้ง Demna ที่ Gucci และ Pierpaolo Piccioli ที่ Balenciaga คือหมากที่ชัดที่สุดของปี

    Gucci เลือก Demna ไม่ใช่เพราะความแปลก แต่เพราะ Gucci ต้องการ แรงกระแทกเชิงวัฒนธรรม เพื่อดึงแบรนด์ออกจากภาวะลอยตัวขณะที่ Balenciaga เลือก Piccioli เพื่อเปลี่ยนทิศจาก shock-driven fashion สู่ความหรูเชิงอารมณ์และศักดิ์ศรีของงาน couture นี่คือการสลับขั้วที่สะท้อนว่า Kering กำลัง “จัดระบบพอร์ต” ใหม่ทั้งกลุ่ม

    Dior SS26
    LVMH: เลือกคนที่ “คุมทั้งระบบ” ไม่ใช่แค่คุมรันเวย์

    ฝั่ง LVMH การแต่งตั้ง Jonathan Anderson ที่ Dior คือสัญญาณชัด Dior ไม่ต้องการแค่ดีไซเนอร์เสื้อสวย
    แต่ต้องการผู้นำที่คุม womenswear, menswear และ couture ให้พูดภาษาเดียวกัน เช่นเดียวกับ Loewe ที่เลือกคู่ Proenza Schouler เพราะทั้งคู่พิสูจน์มาแล้วว่า “สร้างแบรนด์ได้จริง” ไม่ใช่แค่สร้างภาพ ในยุคที่แบรนด์กลายเป็นระบบขนาดใหญ่ ดีไซเนอร์จึงต้องคิดแบบ CEO เชิงวัฒนธรรม

    Chanel SS26
    Chanel และโจทย์ที่ยากที่สุด: เปลี่ยนโดยห้ามคนกลัว

    การมาของ Matthieu Blazy ที่ Chanel คือการเปลี่ยนที่ละเอียดที่สุดในอุตสาหกรรม Chanel ไม่สามารถ “พลาด” ได้แม้แต่นิดเดียว โจทย์ไม่ใช่การทำให้ต่าง แต่คือการทำให้ ร่วมสมัยโดยไม่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของลูกค้าทั่วโลก นี่คือเหตุผลที่การเปลี่ยนดีไซเนอร์บางแบรนด์ต้องใช้ “ความเงียบ” มากกว่า “เสียงดัง”

    Versace SS26
    Versace: เมื่อการซื้อกิจการไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะนิ่ง

    กรณี Versace หลังเข้า Prada Group สะท้อนความจริงของยุคนี้ ต่อให้มีเจ้าของใหม่ที่แข็งแรง
    การหาสมดุลระหว่าง DNA เดิม กับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย เก้าอี้ครีเอทีฟที่ยังไม่นิ่ง คืออาการของช่วงเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่ความล้มเหลว

    บทสรุป

    ปี 2025 คือปีที่แฟชั่นเลิกถามว่า “ใครเก่งที่สุด” แต่ถามว่า “ใครพาแบรนด์ไปต่อได้จริง” การเปลี่ยนดีไซเนอร์จึงไม่ใช่ดราม่า แต่คือกลไกการเอาตัวรอดของอุตสาหกรรม และจากนี้ไป เก้าอี้ Creative Director จะไม่ใช่เวทีโชว์ตัว แต่คือที่นั่งของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของแบรนด์

    Share

    Facebook
    Twitter
    LinkedIn
    Pinterest

    Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

    Search