The Face Thailand
July 10, 2025

ในวันที่วงการโทรทัศน์ต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ การกลับมาของ The Face Thailand ในซีซันใหม่นี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การนำรายการเรียลลิตี้โชว์ยอดนิยมกลับมาสู่จออีกครั้ง แต่คือภารกิจสำคัญที่คุณเต้ กันตนา (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) ผู้ปลุกปั้นรายการนี้มาตั้งแต่ต้น ตั้งใจที่จะ “รีเฟรช” ทุกมิติ เพื่อให้รายการก้าวทันยุคสมัย ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับรายการนี้ มาดูกันว่าภายใต้โจทย์ใหม่ นิยามใหม่ “The Face Thailand ซีซันนี้จะแตกต่างและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้อย่างไรบ้าง …”

#legend: สำหรับซีซันใหม่นี้ คุณเต้มีแนวคิดหรืออยากให้ The Face แตกต่างจากซีซันที่ผ่านมาอย่างไร

PK: เราต้องการรีเฟรช The Face ทั้งหมด ซีซันนี้จะ “ทำน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้” ลดเหลือ 8 ตอน (จากเดิม 13 ตอน) โดยจะมีเมนเทอร์ใหม่และผู้เข้าแข่งขันยุคใหม่ เพื่อให้ทันสมัย เราชอบทำงานกับเด็กๆ ที่เติบโตมากับรายการนี้ พวกเขารู้ดีว่าจะมาทำอะไรและเติบโตอย่างไรในรายการ ถือเป็นความท้าทายเพราะผู้เข้าแข่งขันคือหัวใจสำคัญ

ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คุณเต้ปรับการสื่อสารกับผู้เข้าแข่งขันอย่างไรบ้าง

PK: เราปรับกลเม็ดการสื่อสารให้เข้ากับยุคมากขึ้น แม้พวกเขามีตัวตนอยู่แล้ว แต่เราเป็นที่แรกที่ให้พวกเขาได้ลองทำงานในบรรยากาศมืออาชีพ เช่น การทำงานกับช่างภาพระดับประเทศ หรือแคมเปญจาก Global Brand อย่าง Tresemme, Toyota, AHC, Vaseline แนวคิดของเราคือ “Inside Out” คือเราอยู่ที่ไทยก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่เดินทางไปทั่วโลกได้

สำหรับคุณเต้แล้ว ผู้เข้าแข่งขันยุคใหม่มีนิยามอย่างไร

PK: นิยามความงามเปลี่ยนไปแล้ว ความงามยุคนี้ต้องทำอะไรได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว หากคุณไม่พร้อมสำหรับการแข่งขัน สำหรับ Beauty Standard ที่หลากหลาย คุณก็จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อม ๆ กัน

แล้วในรายการ The Face เวอร์ชันนี้จะให้นิยาม “ความงาม” ว่าอย่างไร

PK: นิยามความสวยตอนนี้คือ Real Size Beauty คือคุณสวยในแบบของคุณเอง ไม่ต้องสวยตามคนอื่น Self-love จะเป็นแกนหลักของซีซันนี้ เราจะ Empower ผู้หญิง ให้รู้จักรักตัวเองก่อน เพราะการรักตัวเองให้พอจะทำให้คุณรักคนอื่นเป็น เราจะเน้น “คุณค่า” ซึ่งแตกต่างจาก “มูลค่า” คุณค่าเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ต้องมาจากครอบครัว หากคุณไม่มีคุณค่า ก็ยากจะมีมูลค่า

รายการลงทุนมากขนาดนี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมตัวยังไง

PK: เราทุ่มโปรดักชันกว่า 300-400 ล้านบาท รวมถึงค่าพิธีกร เสื้อผ้าหน้าผม และ Virtual Studio กว่า 200 ล้านบาท สิ่งเหล่านี้คือโอกาสให้คุณได้เป็น Somebody คุณต้องอยากได้มันจริงๆ ไม่ใช่แค่มาสร้างซีนแล้วจากไป

สุดท้ายแล้ว The Face ยังมีจุดยืนทางสังคมไหม?

PK: The Face มี DNA คือแฟชั่น ซึ่งสะท้อนภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เราทำเรื่องความเท่าเทียม LGBTQ+ มาตลอด แต่ปีนี้เราจะโฟกัสที่การ Empower ผู้หญิง มากขึ้น เราต้องช่วยผู้หญิงให้ชัดเจนกว่าผู้ชายให้ได้ และมั่นใจว่าคนที่เราจะช่วยนั้นใช้ได้จริง สร้างประโยชน์ได้มากที่สุด

มีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าเขาเข้ามาแล้วยังไม่พร้อมในส่วนของคุณค่าเท่ากับที่คุณมองไว้ แต่เขามีมูลค่า

PK: ก็ยังดี ก็ยังทำงานได้ แต่ต้องดูว่ามูลค่าที่มีนั้นเหมาะกับ The Face หรือเปล่า หากเหมาะก็ได้มาร่วมงานกัน คุณต้องเข้าใจว่าคุณค่าของคุณอาจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คุณต้องพร้อมเรียนรู้จากรายการ เพราะเราต่างคนต่างเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน

เมนเทอร์ในซีซันนี้เลือกจากอะไร

PK: เราเลือกจากคนในครอบครัว The Face แต่มาในมุมมองใหม่ เมนเทอร์ใหม่ทั้งหมดนี้จะไม่เล่นแบบเดิมๆ เราต้องการความ Classy และเมนเทอร์เองก็ต้องมีอะไรจะบอกในชีวิตประจำวัน มารีญา พูลเลิศลาภ: ผู้ชนะซีซันล่าสุด กลับมาฉายเดี่ยวพร้อมประเด็นที่อยากสื่อสาร ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและผู้หญิง แอนโทเนีย โพซิ้ว: เริ่มจาก The Face Thailand และเป็นคนไทยคนแรกที่คว้ามงกุฎ Miss Supranational 2019 และ รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 เธอครบเครื่อง มีความรู้ และพร้อมเป็นแบบอย่างให้น้องรุ่นต่อไป แพนเค้ก เขมนิจ: มีประสบการณ์ครบถ้วน มีความเป็นผู้ใหญ่ นิ่ง เราติดต่อมาหลายปีแล้ว และในที่สุดก็ได้ร่วมงานกัน

คนถามว่าเมนเทอร์แซ่บมั้ย?

PK: ซีซันนี้เราต้องการให้ข้อมูล ไม่เน้นความดุดัน ก้าวร้าวเท่าไร เพราะโลกนี้โหดร้ายพอแล้ว แต่แน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงมารวมกัน ย่อมมีการต่อสู้เพื่อทีมให้ชนะ ความเป็นแม่ย่อมออกมา และเก็บอาการไม่อยู่

แล้ว “มาสเตอร์เมนเทอร์” ล่ะ เป็นใคร

PK: มาสเตอร์เมนเทอร์ คือทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีใครสุดเท่าเธอแล้ว เธอเป็นทั้งดารานักแสดงที่อยู่มานานกว่า 30 ปี คว้ามาหลายรางวัล และเป็นผู้จัดเหมือนกับเรา เธอเข้าใจมากกว่าที่เมนเทอร์เข้าใจ เธอคือจุดสูงสุด ภาพลักษณ์ของเธอยังคงร่วมสมัย เป็นตัวอย่างของคนที่ดังและยืนหยัดมานาน ทุกคนเคารพ เธอคือ แอน ทองประสม มาสเตอร์เมนเทอร์คือผู้คุมเกมส์ ผู้คุมเมนเทอร์อีกที

ทำไมถึงยกให้แอนเป็นเหมือนเจ้าของรายการ

PK: เมนเทอร์ที่เลือกมาคือส่วนหนึ่งของเรา คุณแอนก็เหมือนเป็นหนึ่งในเจ้าของรายการ เรายกให้เขาเต็มที่ มีความเข้าใจตรงกัน เรารู้ว่าเธอเป็นนักสู้ รักษาระดับมาตรฐานการทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อยู่ได้ในทุกยุคทุกสมัย เด็กๆ ให้ความเคารพ เธอดูแลตัวเองดีมาก และในฐานะผู้จัด เธอยังเข้าใจอีกมิติหนึ่งว่าหัวใจของงานเราคืออะไร นั่นคือการสร้างคน สร้างอาชีพ และคุณแอนดูคนเป็น ปั้นคนได้ และดูออกว่าใครเหมาะกับอะไร

ปีนี้พิธีกรเปลี่ยนไปใช่มั้ย

PK: ปีนี้เป็นยุคใหม่แล้ว สิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นคือ โฮสต์เป็น Information เราอยู่ในยุค Age of Information บุคคลหรือมนุษย์ควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เราเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นอย่าง “พี่ปืน” สธน ตันตราภรณ์ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อ Educate ทั้งเรา ทีมงาน และเมนเทอร์ เขามี Podcast และคลังประวัติศาสตร์แฟชั่นในสมอง ทำให้สามารถอธิบายความถูกต้องของแฟชั่นได้เป็นอย่างดี

คาดว่ากระแสจะเป็นยังไง

PK: กระแสแรงมากอยู่แล้ว เรารู้ว่าคนรักรายการนี้และรอคอยมาก วงการโทรทัศน์ซบเซา เทรนด์เรียลลิตี้น่าจะมา และเราคือผู้นำแห่งเรียลลิติ้ เราต้องปลุกทุกคนให้ตื่น แค่ให้ทุกคนมีความสุข ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ดูไปได้ทั้งความรู้และะความบันเทิง

ตั้งรับกระแสลบยังไง

PK:  เราตั้งรับเท่าที่ทำได้ เพราะชินแล้ว เช่น พอเปิดตัวเมนเทอร์ใหม่หมด หรือเปิดตัวมารีญา คนก็จะคอมเมนต์ว่าไหนว่าใหม่หมด เราก็จะ Live อธิบายว่าก็ใหม่นะ แล้วก็มาคนเดียว จะรอดหรือเปล่า อินฟลูเอนเซอร์หลายคนมาสมัครเอง เพราะรักรายการมาก เราให้พวกเขาเข้ามาถึงหน้ารายการ ส่วนจะไปถึงไหนก็ให้เมนเทอร์เป็นคนเลือก

จุดสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขันที่จะพิชิต The Face ต้องเจอกับอะไร?

PK: ไดเรกชันของเราและนิยามความงามของเรามีไว้แล้ว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง จะบอกตอน Final Walk พร้อมโชว์ที่จะสื่อถึงข้อความว่า แม้จะฟาดฟันกันอย่างไร ทุกคนต้องสามัคคีกัน สุดท้ายผู้ชนะต้องรู้จักเสียสละ เราจะมีเคมเปญให้ฉุกคิดว่า นิยามของการเป็นผู้ให้นั้นคืออะไร

สุดท้าย คิดว่าอะไรทำให้รายการนี้ยังเป็นที่รักของคนดู

PK: เราจึงตั้งใจ สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ รายการสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และความรู้สึกของมนุษย์ เป็นรายการที่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้เราจับชีพจรโลกและประเทศไทยได้ และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของรายการ

The Face จากหลายประเทศยอมรับว่า 50% ของผู้ชมชอบอยู่แล้ว อีก 50% ที่เหลือคือการใส่สูตร ใส่ความเป็นไทย เพราะ The Face มี DNA ชัดเจนคือแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ คำว่าไลฟ์สไตล์สำคัญมาก เพราะทุกสิ่งที่คุณทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบกับความโหดร้ายของเรียลลิตี้ที่เล่นกับความรู้สึกคน ทำให้คนดูตั้งคำถามว่ามีสคริปต์ไหม เล่นกันจริงไหม โหดจริงหรือเปล่า นี่คือเสน่ห์ที่ทุกเพศทุกวัยสามารถดูและเข้าใจได้ และเมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับวงการบันเทิงที่ทุกคนอยากอยู่ ก็จะเข้าใจมากขึ้นว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ซีซันนี้จะมีครบทุกมิติที่พูดไป และจะมีลึกซึ้งกว่านั้นด้วย เราอยากให้ดูด้วยความบันเทิง แต่ถ้าใครได้อะไรไปมากกว่านั้น เราก็ดีใจ

แล้ววันนี้ The Face ยังเป็นผู้นำแฟชั่นอยู่มั้ย

PK: ไม่อยู่แล้ว เราถึงต้องเริ่มใหม่ และการเริ่มใหม่ครั้งนี้ ขอโอกาสให้เปิดใจกันเยอะๆ ไม่อยากให้ยึดติดกับอดีต แต่ถ้าชอบคนเก่า อยากเห็นมาเดินเล่นบ้างก็อาจจัดให้ได้ แต่เราอยากไปในเส้นทางใหม่ๆ ตอนนี้คิดถึง The Face Men, The Face Teenage แล้ว หวังว่าการกลับมาครั้งนี้จะจุดประกายให้เราทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

เล่าถึงสตูดิโอใหม่ให้ฟังหน่อย

PK: สตูดิโอใหม่ของเราคือ Virtual Production Studio ที่พร้อมทำงานบริการด้านโปรดักชันมากที่สุดในเอเชีย ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็นการลงทุนที่มองหากำไรในอนาคต เราสร้างขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมได้ใช้ในราคาที่เข้าถึงได้ เราเข้าใจ Pain Point ของคนทำงาน จึงสามารถเปลี่ยนฉากได้สิบฉากในวันเดียว หรือเซ็ตฉากพระอาทิตย์ตกดินก็ได้ เทคโนโลยี Virtual คือพระเอก และ Sound คือนางเอก เรามีระบบเสียงที่ดีที่สุดในโลก เดิมเราเป็นอันดับหนึ่งด้าน Post Production เรื่อง แสง สี เสียง ตอนนี้มี Virtual เพิ่มเข้ามา ทำให้ครบวงจรยิ่งขึ้น สามารถทำงานและโพสต์ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแสงหรือแก้เสียงแยกกัน ที่นี่ครบวงจร นอกจาก The Face แล้ว ยังมีภาพยนตร์ต่างประเทศ โฆษณา และมิวสิควิดีโอมาถ่ายที่นี่เยอะมาก เราต้องการเป็น Hub ของ Production โลก ความท้าทายคือยังขาดคนทำกราฟิกดีไซน์ในตลาด เราจึงจ้างคนเกาหลีมาฝึก แต่เรามั่นใจว่าเป็นที่ที่พร้อมที่สุดทั้งเทคโนโลยีและบุคลากร

แล้วมุมมองของคุณต่อ AI ในวงการบันเทิงเป็นอย่างไร?

PK: AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์เป็นผู้ชี้นำ ดังนั้นเราไม่ควรเชื่อทุกอย่าง เพราะ AI ยังมีข้อมูลผิดพลาดมาก ผมรู้สึกว่ามนุษย์ยังสำคัญกว่า AI ใช้ AI ให้เป็น อย่าใช้ในทางที่ผิด อย่าให้มันครอบงำ และงานศิลปะยังไงก็สู้มนุษย์ไม่ได้ ต่อให้ลอกเลียนแบบได้มากเท่าไร ก็ไม่เหมือนงานชิ้นแรกที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ แต่ข้อดีคือ AI ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น สตูดิโอของกันตนาจะมี AI ไว้ใช้งาน เพื่อให้งานเร็วขึ้น แต่ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับการทำงานของบุคลากรมากกว่า

มีแผนที่จะทำให้คนรู้จักและมาใช้สตูดิโอมากขึ้นอย่างไร?

PK: เราจะทำให้เห็นจาก The Face เพราะจะได้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังในการถ่ายทำ และวิธีการใช้ Virtual Studio ทุกขั้นตอน

นอกจากงาน The Face และสตูดิโอ คุณมีแพลนอะไรของตัวเองในปีนี้ไหม?

PK: น่าจะมีออนไลน์แคมเปญของตัวเองมากขึ้น เพื่อสื่อสารกับเด็กยุคใหม่ และหวังว่าจะได้ทำ The Face ซีซันต่อๆ ไป ตอนนี้กันตนากำลังมาแรง มีละครหลายเรื่อง เช่น สืบสันดาร, สุสานคนเป็น, เด็กไทยหัวใจโขน และเร็วๆ นี้คือเรื่อง ‘ปากกันตีนถีบ’ เกี่ยวกับซอมบี้ ออกอากาศทาง Netflix เดือนกรกฎาคมนี้ และยังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่อยากให้ติดตาม

ในวันที่วงการโทรทัศน์ต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ การกลับมาของ The Face Thailand ในซีซันใหม่นี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การนำรายการเรียลลิตี้โชว์ยอดนิยมกลับมาสู่จออีกครั้ง แต่คือภารกิจสำคัญที่คุณเต้ กันตนา (ปิยะรัฐ กัลย์จาฤก) ผู้ปลุกปั้นรายการนี้มาตั้งแต่ต้น ตั้งใจที่จะ “รีเฟรช” ทุกมิติ เพื่อให้รายการก้าวทันยุคสมัย ตอบโจทย์ความคาดหวังของผู้ชม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาพร้อมกับรายการนี้ มาดูกันว่าภายใต้โจทย์ใหม่ นิยามใหม่ “The Face Thailand ซีซันนี้จะแตกต่างและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ได้อย่างไรบ้าง …”

สำหรับซีซันใหม่นี้ คุณเต้มีแนวคิดหรืออยากให้ The Face แตกต่างจากซีซันที่ผ่านมาอย่างไร

PK: เราต้องการรีเฟรช The Face ทั้งหมด ซีซันนี้จะ “ทำน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้” ลดเหลือ 8 ตอน (จากเดิม 13 ตอน) โดยจะมีเมนเทอร์ใหม่และผู้เข้าแข่งขันยุคใหม่ เพื่อให้ทันสมัย เราชอบทำงานกับเด็กๆ ที่เติบโตมากับรายการนี้ พวกเขารู้ดีว่าจะมาทำอะไรและเติบโตอย่างไรในรายการ ถือเป็นความท้าทายเพราะผู้เข้าแข่งขันคือหัวใจสำคัญ

ในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป คุณเต้ปรับการสื่อสารกับผู้เข้าแข่งขันอย่างไรบ้าง

PK: เราปรับกลเม็ดการสื่อสารให้เข้ากับยุคมากขึ้น แม้พวกเขามีตัวตนอยู่แล้ว แต่เราเป็นที่แรกที่ให้พวกเขาได้ลองทำงานในบรรยากาศมืออาชีพ เช่น การทำงานกับช่างภาพระดับประเทศ หรือแคมเปญจาก Global Brand อย่าง Tresemme, Toyota, AHC, Vaseline แนวคิดของเราคือ “Inside Out” คือเราอยู่ที่ไทยก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่เดินทางไปทั่วโลกได้

สำหรับคุณเต้แล้ว ผู้เข้าแข่งขันยุคใหม่มีนิยามอย่างไร

PK: นิยามความงามเปลี่ยนไปแล้ว ความงามยุคนี้ต้องทำอะไรได้หลายอย่าง ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว หากคุณไม่พร้อมสำหรับการแข่งขัน สำหรับ Beauty Standard ที่หลากหลาย คุณก็จะได้เรียนรู้และเติบโตอย่างมั่นคงไปพร้อม ๆ กัน

แล้วในรายการ The Face เวอร์ชันนี้จะให้นิยาม “ความงาม” ว่าอย่างไร

PK: นิยามความสวยตอนนี้คือ Real Size Beauty คือคุณสวยในแบบของคุณเอง ไม่ต้องสวยตามคนอื่น Self-love จะเป็นแกนหลักของซีซันนี้ เราจะ Empower ผู้หญิง ให้รู้จักรักตัวเองก่อน เพราะการรักตัวเองให้พอจะทำให้คุณรักคนอื่นเป็น เราจะเน้น “คุณค่า” ซึ่งแตกต่างจาก “มูลค่า” คุณค่าเป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ ต้องมาจากครอบครัว หากคุณไม่มีคุณค่า ก็ยากจะมีมูลค่า

รายการลงทุนมากขนาดนี้ ผู้เข้าแข่งขันต้องเตรียมตัวยังไง

PK: เราทุ่มโปรดักชันกว่า 300-400 ล้านบาท รวมถึงค่าพิธีกร เสื้อผ้าหน้าผม และ Virtual Studio กว่า 200 ล้านบาท สิ่งเหล่านี้คือโอกาสให้คุณได้เป็น Somebody คุณต้องอยากได้มันจริงๆ ไม่ใช่แค่มาสร้างซีนแล้วจากไป

สุดท้ายแล้ว The Face ยังมีจุดยืนทางสังคมไหม?

PK: The Face มี DNA คือแฟชั่น ซึ่งสะท้อนภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เราทำเรื่องความเท่าเทียม LGBTQ+ มาตลอด แต่ปีนี้เราจะโฟกัสที่การ Empower ผู้หญิง มากขึ้น เราต้องช่วยผู้หญิงให้ชัดเจนกว่าผู้ชายให้ได้ และมั่นใจว่าคนที่เราจะช่วยนั้นใช้ได้จริง สร้างประโยชน์ได้มากที่สุด

มีความเป็นไปได้มั้ย ถ้าเขาเข้ามาแล้วยังไม่พร้อมในส่วนของคุณค่าเท่ากับที่คุณมองไว้ แต่เขามีมูลค่า

PK: ก็ยังดี ก็ยังทำงานได้ แต่ต้องดูว่ามูลค่าที่มีนั้นเหมาะกับ The Face หรือเปล่า หากเหมาะก็ได้มาร่วมงานกัน คุณต้องเข้าใจว่าคุณค่าของคุณอาจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น คุณต้องพร้อมเรียนรู้จากรายการ เพราะเราต่างคนต่างเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน

เมนเทอร์ในซีซันนี้เลือกจากอะไร

PK: เราเลือกจากคนในครอบครัว The Face แต่มาในมุมมองใหม่ เมนเทอร์ใหม่ทั้งหมดนี้จะไม่เล่นแบบเดิมๆ เราต้องการความ Classy และเมนเทอร์เองก็ต้องมีอะไรจะบอกในชีวิตประจำวัน มารีญา พูลเลิศลาภ: ผู้ชนะซีซันล่าสุด กลับมาฉายเดี่ยวพร้อมประเด็นที่อยากสื่อสาร ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและผู้หญิง แอนโทเนีย โพซิ้ว: เริ่มจาก The Face Thailand และเป็นคนไทยคนแรกที่คว้ามงกุฎ Miss Supranational 2019 และ รองอันดับ 1 Miss Universe 2023 เธอครบเครื่อง มีความรู้ และพร้อมเป็นแบบอย่างให้น้องรุ่นต่อไป แพนเค้ก เขมนิจ: มีประสบการณ์ครบถ้วน มีความเป็นผู้ใหญ่ นิ่ง เราติดต่อมาหลายปีแล้ว และในที่สุดก็ได้ร่วมงานกัน

คนถามว่าเมนเทอร์แซ่บมั้ย?

PK: ซีซันนี้เราต้องการให้ข้อมูล ไม่เน้นความดุดัน ก้าวร้าวเท่าไร เพราะโลกนี้โหดร้ายพอแล้ว แต่แน่นอนว่าเมื่อผู้หญิงมารวมกัน ย่อมมีการต่อสู้เพื่อทีมให้ชนะ ความเป็นแม่ย่อมออกมา และเก็บอาการไม่อยู่

แล้ว “มาสเตอร์เมนเทอร์” ล่ะ เป็นใคร

PK: มาสเตอร์เมนเทอร์ คือทุกอย่างในจักรวาล ไม่มีใครสุดเท่าเธอแล้ว เธอเป็นทั้งดารานักแสดงที่อยู่มานานกว่า 30 ปี คว้ามาหลายรางวัล และเป็นผู้จัดเหมือนกับเรา เธอเข้าใจมากกว่าที่เมนเทอร์เข้าใจ เธอคือจุดสูงสุด ภาพลักษณ์ของเธอยังคงร่วมสมัย เป็นตัวอย่างของคนที่ดังและยืนหยัดมานาน ทุกคนเคารพ เธอคือ แอน ทองประสม มาสเตอร์เมนเทอร์คือผู้คุมเกมส์ ผู้คุมเมนเทอร์อีกที

ทำไมถึงยกให้แอนเป็นเหมือนเจ้าของรายการ

PK: เมนเทอร์ที่เลือกมาคือส่วนหนึ่งของเรา คุณแอนก็เหมือนเป็นหนึ่งในเจ้าของรายการ เรายกให้เขาเต็มที่ มีความเข้าใจตรงกัน เรารู้ว่าเธอเป็นนักสู้ รักษาระดับมาตรฐานการทำงานได้อย่างดีเยี่ยม อยู่ได้ในทุกยุคทุกสมัย เด็กๆ ให้ความเคารพ เธอดูแลตัวเองดีมาก และในฐานะผู้จัด เธอยังเข้าใจอีกมิติหนึ่งว่าหัวใจของงานเราคืออะไร นั่นคือการสร้างคน สร้างอาชีพ และคุณแอนดูคนเป็น ปั้นคนได้ และดูออกว่าใครเหมาะกับอะไร

ปีนี้พิธีกรเปลี่ยนไปใช่มั้ย

PK: ปีนี้เป็นยุคใหม่แล้ว สิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นคือ โฮสต์เป็น Information เราอยู่ในยุค Age of Information บุคคลหรือมนุษย์ควรได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เราเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านแฟชั่นอย่าง “พี่ปืน” สธน ตันตราภรณ์ มาเป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อ Educate ทั้งเรา ทีมงาน และเมนเทอร์ เขามี Podcast และคลังประวัติศาสตร์แฟชั่นในสมอง ทำให้สามารถอธิบายความถูกต้องของแฟชั่นได้เป็นอย่างดี

คาดว่ากระแสจะเป็นยังไง

PK: กระแสแรงมากอยู่แล้ว เรารู้ว่าคนรักรายการนี้และรอคอยมาก วงการโทรทัศน์ซบเซา เทรนด์เรียลลิตี้น่าจะมา และเราคือผู้นำแห่งเรียลลิติ้ เราต้องปลุกทุกคนให้ตื่น แค่ให้ทุกคนมีความสุข ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ดูไปได้ทั้งความรู้และะความบันเทิง

ตั้งรับกระแสลบยังไง

PK:  เราตั้งรับเท่าที่ทำได้ เพราะชินแล้ว เช่น พอเปิดตัวเมนเทอร์ใหม่หมด หรือเปิดตัวมารีญา คนก็จะคอมเมนต์ว่าไหนว่าใหม่หมด เราก็จะ Live อธิบายว่าก็ใหม่นะ แล้วก็มาคนเดียว จะรอดหรือเปล่า อินฟลูเอนเซอร์หลายคนมาสมัครเอง เพราะรักรายการมาก เราให้พวกเขาเข้ามาถึงหน้ารายการ ส่วนจะไปถึงไหนก็ให้เมนเทอร์เป็นคนเลือก

จุดสุดท้ายของผู้เข้าแข่งขันที่จะพิชิต The Face ต้องเจอกับอะไร?

PK: ไดเรกชันของเราและนิยามความงามของเรามีไว้แล้ว ถ้ามีการเปลี่ยนแปลง จะบอกตอน Final Walk พร้อมโชว์ที่จะสื่อถึงข้อความว่า แม้จะฟาดฟันกันอย่างไร ทุกคนต้องสามัคคีกัน สุดท้ายผู้ชนะต้องรู้จักเสียสละ เราจะมีเคมเปญให้ฉุกคิดว่า นิยามของการเป็นผู้ให้นั้นคืออะไร

สุดท้าย คิดว่าอะไรทำให้รายการนี้ยังเป็นที่รักของคนดู

PK: เราจึงตั้งใจ สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ รายการสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทั้งการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และความรู้สึกของมนุษย์ เป็นรายการที่อยู่กับปัจจุบัน ทำให้เราจับชีพจรโลกและประเทศไทยได้ และนำมาเป็นส่วนหนึ่งของรายการ

The Face จากหลายประเทศยอมรับว่า 50% ของผู้ชมชอบอยู่แล้ว อีก 50% ที่เหลือคือการใส่สูตร ใส่ความเป็นไทย เพราะ The Face มี DNA ชัดเจนคือแฟชั่น บิวตี้ ไลฟ์สไตล์ คำว่าไลฟ์สไตล์สำคัญมาก เพราะทุกสิ่งที่คุณทำอยู่ในชีวิตประจำวัน ประกอบกับความโหดร้ายของเรียลลิตี้ที่เล่นกับความรู้สึกคน ทำให้คนดูตั้งคำถามว่ามีสคริปต์ไหม เล่นกันจริงไหม โหดจริงหรือเปล่า นี่คือเสน่ห์ที่ทุกเพศทุกวัยสามารถดูและเข้าใจได้ และเมื่อมีข้อมูลเกี่ยวกับวงการบันเทิงที่ทุกคนอยากอยู่ ก็จะเข้าใจมากขึ้นว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด ซีซันนี้จะมีครบทุกมิติที่พูดไป และจะมีลึกซึ้งกว่านั้นด้วย เราอยากให้ดูด้วยความบันเทิง แต่ถ้าใครได้อะไรไปมากกว่านั้น เราก็ดีใจ

แล้ววันนี้ The Face ยังเป็นผู้นำแฟชั่นอยู่มั้ย

PK: ไม่อยู่แล้ว เราถึงต้องเริ่มใหม่ และการเริ่มใหม่ครั้งนี้ ขอโอกาสให้เปิดใจกันเยอะๆ ไม่อยากให้ยึดติดกับอดีต แต่ถ้าชอบคนเก่า อยากเห็นมาเดินเล่นบ้างก็อาจจัดให้ได้ แต่เราอยากไปในเส้นทางใหม่ๆ ตอนนี้คิดถึง The Face Men, The Face Teenage แล้ว หวังว่าการกลับมาครั้งนี้จะจุดประกายให้เราทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

เล่าถึงสตูดิโอใหม่ให้ฟังหน่อย

PK: สตูดิโอใหม่ของเราคือ Virtual Production Studio ที่พร้อมทำงานบริการด้านโปรดักชันมากที่สุดในเอเชีย ลงทุนกว่า 200 ล้านบาท เป็นการลงทุนที่มองหากำไรในอนาคต เราสร้างขึ้นเพื่อให้คนในอุตสาหกรรมได้ใช้ในราคาที่เข้าถึงได้ เราเข้าใจ Pain Point ของคนทำงาน จึงสามารถเปลี่ยนฉากได้สิบฉากในวันเดียว หรือเซ็ตฉากพระอาทิตย์ตกดินก็ได้ เทคโนโลยี Virtual คือพระเอก และ Sound คือนางเอก เรามีระบบเสียงที่ดีที่สุดในโลก เดิมเราเป็นอันดับหนึ่งด้าน Post Production เรื่อง แสง สี เสียง ตอนนี้มี Virtual เพิ่มเข้ามา ทำให้ครบวงจรยิ่งขึ้น สามารถทำงานและโพสต์ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแสงหรือแก้เสียงแยกกัน ที่นี่ครบวงจร นอกจาก The Face แล้ว ยังมีภาพยนตร์ต่างประเทศ โฆษณา และมิวสิควิดีโอมาถ่ายที่นี่เยอะมาก เราต้องการเป็น Hub ของ Production โลก ความท้าทายคือยังขาดคนทำกราฟิกดีไซน์ในตลาด เราจึงจ้างคนเกาหลีมาฝึก แต่เรามั่นใจว่าเป็นที่ที่พร้อมที่สุดทั้งเทคโนโลยีและบุคลากร

แล้วมุมมองของคุณต่อ AI ในวงการบันเทิงเป็นอย่างไร?

PK: AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และมนุษย์เป็นผู้ชี้นำ ดังนั้นเราไม่ควรเชื่อทุกอย่าง เพราะ AI ยังมีข้อมูลผิดพลาดมาก ผมรู้สึกว่ามนุษย์ยังสำคัญกว่า AI ใช้ AI ให้เป็น อย่าใช้ในทางที่ผิด อย่าให้มันครอบงำ และงานศิลปะยังไงก็สู้มนุษย์ไม่ได้ ต่อให้ลอกเลียนแบบได้มากเท่าไร ก็ไม่เหมือนงานชิ้นแรกที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ แต่ข้อดีคือ AI ช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น สตูดิโอของกันตนาจะมี AI ไว้ใช้งาน เพื่อให้งานเร็วขึ้น แต่ส่วนตัวผมให้ความสำคัญกับการทำงานของบุคลากรมากกว่า

มีแผนที่จะทำให้คนรู้จักและมาใช้สตูดิโอมากขึ้นอย่างไร?

PK: เราจะทำให้เห็นจาก The Face เพราะจะได้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังในการถ่ายทำ และวิธีการใช้ Virtual Studio ทุกขั้นตอน

นอกจากงาน The Face และสตูดิโอ คุณมีแพลนอะไรของตัวเองในปีนี้ไหม?

PK: น่าจะมีออนไลน์แคมเปญของตัวเองมากขึ้น เพื่อสื่อสารกับเด็กยุคใหม่ และหวังว่าจะได้ทำ The Face ซีซันต่อๆ ไป ตอนนี้กันตนากำลังมาแรง มีละครหลายเรื่อง เช่น สืบสันดาร, สุสานคนเป็น, เด็กไทยหัวใจโขน และเร็วๆ นี้คือเรื่อง ‘ปากกันตีนถีบ’ เกี่ยวกับซอมบี้ ออกอากาศทาง Netflix เดือนกรกฎาคมนี้ และยังมีอีกหลายโปรเจกต์ที่อยากให้ติดตาม

Share

Facebook
Twitter
LinkedIn
Pinterest

Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.

Search