หนึ่งในน้ำหอมที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นกลิ่นที่มีความหรูหราและสร้างความประทับใจได้ทุกครั้งที่เราได้สูดดมกลิ่นเข้าไปคือ Baccarat Rouge 540 จาก Maison Francis Kurkdjian กลิ่นหอมเข้มข้นที่บรรจุในขวดคริสตัลสีแดงพร้อมฝาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ ความหอมระดับตำนานนี้ได้เดินทางเข้าสู่ปีที่ 10 และได้โอกาสมาเฉลิมฉลองในกรุงเทพฯ อย่างยิ่งใหญ่ ณ Nailert Park โดย Francis Kurkdjian นักปรุงน้ำหอมชื่อดังและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ มาร่วมพูดคุยถึงความพิเศษของน้ำหอมกลิ่นนี้แบบเอ็กซ์คลูซีฟ


What makes a perfume great?
บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการที่ Mr. Francis Kurkdjian ได้พูดถึงนิยามของน้ำหอมที่ดีว่าควรมีคุณสมบัติอย่างไร?
“คำตอบคือกลิ่นหอมที่ลอยตามหลัง เหมือนร่องรอยหรือเส้นทางของน้ำหอมที่ทิ้งไว้ในอากาศเวลาคุณเดินผ่าน คนที่อยู่ห่างออกไป 1-2 เมตรยังคงสัมผัสกลิ่นได้ และทันทีที่ได้กลิ่นก็สามารถบอกได้ว่าคือน้ำหอมอะไร น้ำหอมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น มันเหมือนกับดนตรี เราจดจำผลงานที่สะกดอารมณ์เราได้ เราจะจำท่วงทำนองและคำร้อง น้ำหอมก็เช่นเดียวกัน”

From Baccarat’s Red to a Fragrance Icon
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อต้องเริ่มงานกับแบรนด์เครื่องเรือนที่รังสรรค์ด้วยคริสตัลอย่าง Baccarat เขาเริ่มการเดินทางจากการสร้างสรรค์คริสตัลและต่อยอดมาสู่นิยามแห่งน้ำหอมที่ยากจะหาใครเหมือน “เมื่อผมถามว่าคริสตัลสีแดงถูกทำขึ้นมาได้อย่างไร ประธานของ Baccarat อธิบายว่า มันถูกหลอมขึ้นในเตาเผาโดยการเติมผงทองคำ 24 กะรัต และให้ความร้อนที่อุณหภูมิ 540 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 8 ชั่วโมง จนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง สำหรับผม นั่นคือทั้งวิทยาศาสตร์และเวทมนตร์ในเวลาเดียวกัน คริสตัลคือสิ่งที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งเมื่อเทียบกับแก้วมันทั้งหนาแน่นและหนักกว่า แต่กลับโปร่งใสและสว่างไสวกว่าด้วย…ความท้าทายของผมคือการถ่ายทอดความขัดแย้งนั้นออกมาเป็นกลิ่นหอม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของ Baccarat Rouge 540”

The Three Pillars of Baccarat Rouge 540
จากสามองค์ประกอบสำคัญในการรังสรรค์คริสตัลสู่การดีไซน์กลิ่นหอมที่ถ่ายทอดมนต์เสน่ห์ของคริสตัลจับประกายได้อย่างลงตัว
“คริสตัลเกิดจากแร่ธาตุ ไฟ และความเชี่ยวชาญ” เขาอธิบาย จากสามองค์ประกอบนี้เองที่กลายมาเป็นโครงสร้างของ Baccarat Rouge 540
แร่ธาตุถูกตีความเป็นแอมเบอร์กริส “แอมเบอร์มีกลิ่นคล้ายทราย” เขากล่าว มันทำหน้าที่เป็นรากฐานที่เชื่อมโยงน้ำหอมเข้ากับความเป็นธรรมชาติและความคลาสสิกเหนือกาลเวลา ไฟถูกถ่ายทอดออกมาเป็นกลิ่นหวานคล้ายลูกกวาดไหม้ที่อบอวลไปด้วยความเข้มข้นและความอบอุ่น ส่วนความเชี่ยวชาญก็ถูกกลั่นออกมาเป็นโมเลกุลเบาบางที่จับต้องไม่ได้ เสมือนศาสตร์แห่งการปรุงแต่งที่ยกน้ำหอมขึ้นสู่มิติใหม่และมอบประกายเรืองรองที่ไม่มีวันเลือนหาย

The Making of Baccarat Rouge 540
เมื่อ Francis Kurkdjian สร้าง Baccarat Rouge 540 เขาเริ่มจากการวิเคราะห์ตระกูลกลิ่นแอมเบอร์ วานิลลาแบบดั้งเดิม “คุณมีความหวานกูร์มองด์ คุณมีความหอมแนว powdery คุณมีความแอมเบอริก” ทั้งหมดนี้คือการปรับสัดส่วนของวัตถุดิบเดียวกันในสัดส่วนที่ต่างออกไป” แต่เขาไม่ต้องการสร้างกลิ่นที่มีอยู่แล้ว “สำหรับ Baccarat ผมอยากทำสิ่งที่แตกต่าง ผมอยากเก็บจิตวิญญาณของความเข้มข้น แต่เปลี่ยนแปลง ‘รูปทรง’ ของมัน” เขาเปรียบการปรุงน้ำหอมเหมือนวรรณกรรม เริ่มต้นจากการลอกเลียนแบบผลงานของปรมาจารย์ จากนั้นคุณต้องหาสไตล์ของตัวเอง สำหรับ Baccarat Rouge 540 นั่นหมายถึงการทำลายกฎเกณฑ์ “คุณต้องตัดวัตถุดิบทั่วไปที่ถูกใช้ซ้ำมาเกือบ 100 ปีออกไป และด้วยการตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปนี่แหละที่ทำให้คุณสร้างสิ่งใหม่ได้จริงๆ”ผลลัพธ์ก็คือ “สูตรที่ไม่ยุ่งยากแต่ทรงพลัง” ที่กลั่นความซับซ้อนให้ชัดเจน ส่องประกาย และ “จดจำได้ทันที”

Baccarat Rouge 540: The Scent Too Iconic to Imitate
Baccarat Rouge 540 เป็นน้ำหอมที่ได้รับความนิยมอย่างมาก จนมีของลอกเลียนแบบหรือที่เรียกว่า dupes ออกวางขายจนเกลื่อนตลาด ซึ่ง Mr. Francis มีทัศนคติส่วนตัวถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“ผมรู้สึกเศร้าสำหรับคนที่ซื้อมัน…เพราะมันเลียนแบบได้แค่ท็อปโน้ตเท่านั้น มันไม่คงอยู่ในแบบเดียวกัน ไม่ได้ถูกพัฒนาในแบบเดียวกัน ผมไม่เคยเห็นของปลอมที่เหมือนต้นฉบับ 100% เลย และเบื้องหลังของลอกเลียนแบบเหล่านี้ ส่วนใหญ่มักมีองค์กรอาชญากรรมเกี่ยวข้อง ทุกวันนี้การผลิตน้ำหอมปลอมทำกำไรได้มากกว่าการผลิตอาวุธเสียอีก แถมโทษก็ยังเบากว่า ยังมีการฟอกเงินมาเกี่ยวพัน มันคือธุรกิจจริงๆ ธุรกิจที่เกาะอยู่บนความสำเร็จของคนอื่น”

A Jewel Beyond Compare
‘Baccarat Rouge 540 Édition Millésime’ ผลิตขึ้นเพียง 54 ขวดทั่วโลก มาพร้อมความพิเศษด้วยตัวขวดและฝาขวดที่มีส่วนผสมของทองคำ 24 กะรัต โดยช่างฝีมือของ Baccarat ถึง 19 คนในการสร้างสรรค์ผลงานคริสตัลสำหรับฐานขวดซึ่งใช้เวลากว่า 500 ชั่วโมง โดยน้ำหอมสุดพิเศษนี้บรรจุในกล่องไม้สนบุหนังและขอบกระจก พร้อมปลอกหนังลูกแกะเย็บมือสุดประณีตโดย Atelier Renard น้ำหอมเองยังมีส่วนผสมของ Ambergris หายาก สร้างสรรค์กลิ่นหอมที่มีความเข้มข้นติดทนนานมากยิ่งขึ้น

The Olfactive Wardrobe
สำหรับ Francis น้ำหอมก็เหมือนแฟชั่นไอเท็ม เขาได้ออกแบบ ‘olfactive wardrobe’ จากความเรียบง่ายและความหรูหรา เพื่อสะท้อนตัวตนในแต่ละวัน เมซงจึงเปรียบเสมือนแฟชั่นเฮาส์ ที่นำเสนอคอลเลกชันกลิ่นใหม่ๆ แต่ไร้กาลเวลา เหมือนเสื้อผ้าที่ออกแบบมาอย่างประณีตที่ใส่ซ้ำได้เสมอ
“แนวคิดของตู้เสื้อผ้ากลิ่นหอม (olfactory wardrobe) ก็คือ คุณสามารถมาที่นี่เหมือนกับการไปที่แฟชั่นเฮาส์ ที่เมซงเรานำเสนอน้ำหอมไร้กาลเวลาในทุกๆฤดูกาล เพื่อตอบรับทั้งอารมณ์ความรู้สึกและตัวตนของคุณ”

Beauty Tips: Perfume & Humidity
เมืองไทยที่อากาศร้อนและชื้นแทบทั้งปี น้ำหอมมักไม่ติดทนบนผิวอย่างที่เราหวังไว้ Francis Kurkdjian มาแชร์เคล็ดลับง่าย ๆ ที่ช่วยให้น้ำหอมอยู่กับคุณได้ยาวนานขึ้น
บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเสมอ
ผิวที่อิ่มน้ำคือผืนผ้าที่ดีที่สุดสำหรับน้ำหอม หากผิวแห้ง กลิ่นจะจางเร็วมาก
“ผิวแห้งจะเก็บกลิ่นน้ำหอมได้น้อยกว่าผิวที่ได้รับการบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ เมื่อคุณทามอยส์เจอไรเซอร์สารประกอบในครีมจะช่วยตรึงกลิ่นให้อยู่ได้ยาวนานขึ้น”
ผิวก็เหมือน “ก้อนเนย”
Francis อธิบายได้เห็นภาพ น้ำหอมเกาะติดส่วนที่มีไขมันได้ดี เหมือนเนยในตู้เย็นที่ดูดซับกลิ่นต่าง ๆ
“ลองนึกถึงเนยที่เก็บไว้ในตู้เย็น เนยสามารถดูดซับกลิ่นได้ ส่วนประกอบที่มีไขมันมีคุณสมบัติทั้งทางกายภาพและทางเคมีในการกักเก็บกลิ่นไว้”
ปรับกลิ่นให้เข้ากับภูมิอากาศ
สภาพอากาศและวัฒนธรรมส่งผลต่อการเลือกกลิ่น ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้คนยังนิยมกลิ่นเข้มข้นชัดเจน ในขณะที่ยุโรปหน้าร้อนจะเลือกกลิ่นซิตรัสบางเบา และสดชื่น
“ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณยังชอบน้ำหอมกลิ่นชัดเจนแรงๆ แต่ในยุโรป เวลาอากาศร้อน เราจะชอบกลิ่นซิตรัส น้ำหอมที่บางเบาและหอมแบบชั่วคราว”
