Logo Hashtag Legend

สัมภาษณ์พิเศษถึงโปรเจค Dior Gold House ผ่านเลนส์ของศรัณย์ เย็นปัญญา

Author: Kantinan Srisan | Photographer: Courtesy of Saran Yen Panya, 56th Studio, and Dior Gold House

Mar 17, 2025

"...สืบเนื่องจากความเหนือระดับของการเปิดตัวของ Dior Gold House หนึ่งในอีเวนท์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี 2024 สำหรับแวดวงแฟชั่นไทยที่ทาง Hashtag Legend Thailand ไปร่วมไปสัมผัสกับความเหนือระดับในรายละเอียดแสนวิจิตรของคาเฟ่แห่งนี้ นำมาสู่บทสัมภาษณ์พิเศษกับหนึ่งในนักออกแบบมือฉมังอย่างคุณโอ ศรัณย์ เย็นปัญญา ที่มาร่วมออกแบบและแต่งเติมความวิจิตรให้กับคาเฟ่แห่งนี้ได้อย่างกลมกล่อมอย่างแท้จริง..."

คำถามแรกที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือจุดเริ่มต้นของการร่วมมือครั้งสำคัญกับ Dior ที่ทางคุณโอได้บอกกับเราว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเกิดขึ้นง่ายๆ เพียงชั่วข้ามคืน "จริงจริงแล้วผมยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทาง Dior เค้าเจอเราได้ยังไง แต่ว่าเขาเล่าให้ฟังว่าก็มีกระบวนการพูดคุยกันภายในมาก่อนรอบหนึ่งแล้ว จากนั้นเขาก็บุกมาที่ออฟฟิศตรงนี้เพื่อพูดคุย ดูผลงานของเขา เกี้ยวพาราสีกันเล็กน้อย แต่เอาจริงแค่ Dior โทรมา ก็คือเราก็ say yes อยู่แล้ว หลังจากที่เขาดูพอร์ตโฟลิโอเราเขาก็กลับไปสักพักใหญ่ ก่อนที่จะกลับมาพร้อมบรีฟว่าอยากให้เราทําอะไรบ้าง ทุกอย่างก็เริ่มจากตรงนี้"

หากถามว่าผลงานของศรัณย์ เย็นปัญญา ที่โดดเด่นอย่างแท้จริงในคาเฟ่มากรสนิยมแห่งนี้ ‘เก้าอี้และรถตุ๊กตุ๊ก’ ถือเป็นหนึ่งในหลักฐานสำคัญที่ตอกย้ำถึงความวิจิตรในฐานะศิลปินของเขาได้อย่างน่าประทับใจ "หลังจากที่ทาง Dior ดูพอร์ตโฟลิโอของเรา เค้าก็กลับไปคิดว่าตัวผมเนี่ยควรจะทําอะไรดี สุดท้ายเขากลับมาพร้อมกับบรีฟที่ว่า ‘จงทำเก้าอี้’ ซึ่ง Dior เนี่ยเขาจะมีเก้าอี้ที่เป็นดีไซน์ระดับไอคอนิคของเขาอยู่แล้ว และอีกหนึ่งสิ่งที่สร้างความตกใจให้เราสุดๆ เลยคือให้ทำรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งได้จริงจริง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ให้เราออกแบบใหม่นะครับ เขาเพียงบอกว่าตอนนี้บรีฟมันมีอยู่ประมาณนี้ หลังจากนั้นเราก็กลับมานั่งคิดทบทวนอีกครั้ง และเริ่มร่างแบบอะไรออกมาเยอะแยะเต็มไปหมด ซึ่งหลายๆ อย่างในสเก็ตก็ไม่ได้อยู่ในบรีฟ แต่ว่าพอเขาเห็นแล้วชอบ เขาก็โอเคทําเลย หลังจากนั้นก็เป็นกระบวนการของการกลับไปกลับมาแก้ไปแก้มา ให้ทุกอย่างมันเป็น ‘Diorize’ ทําให้ทุกอย่างมันมีความเป็นดิออร์จากสิ่งที่เราสเก็ตมาตอนแรก"

อย่างไรก็ตาม ความ Savoir Faire ยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทาง Dior ยึดถือ และเข้ากันได้ดีอย่างยิ่งกับเอกลักษณ์และสไตล์การทำงานของ ศรัณย์ เย็นปัญญา "ต้องบอกว่าโปรเจคนี้เนี่ยค่อนข้างมีความพิเศษ เพราะทาง Dior เขาให้ความสำคัญกับเรื่องของ Savoir Faire อย่างมาก ซึ่งมันเหมาะสมพอดีกับสิ่งที่เราทำอยู่ เพราะออฟฟิศผมเนี่ยทำงานกับชาวบ้าน ทำงานกับคุณลุงคุณป้ามาก่อนแล้ว ซึ่งหลายๆ วัสดุที่เราเอามาใช้ มันเป็นวัสดุที่เราคุ้นมือมาเกือบ 10 ปีแล้วครับ ยกตัวอย่างเช่น เสื่อจากกกจันทบุรี ก็จะมีงานปักที่ปักลงเสื่อแล้วก็เอาหุ้มเป็นเฟอร์นิเจอร์ หรือวัสดุของงานไม้ ก็จะมีการแกะสลักด้วยมือ ทำเลเซอร์คัทและอื่นๆ แล้วก็มีอีกอย่างของตุ๊กตุ๊กทั้งหมดเนี่ยก็เป็นงานสานหรือมือด้วยหวาย แล้วตัวเบาะก็จะเป็นเบาะที่ทำจากเสื่อกกจันทบุรี เหมือนกัน เหมือนเราใส่ความเป็นไทยเข้าไปในผลงานในรูปแบบของวิธีการมากกว่าที่จะแสดงออกเป็นรูปธรรมชัดเจน"

แม้ว่า ศรัณย์ เย็นปัญญา จะเป็นศิลปินที่ผ่านผลงานระดับสากลมาอย่างมากมาย แต่การร่วมมือกับ Dior ในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่น่าประทับใจอย่างลืมไม่ลง "คือต้องยกเครดิตให้ทีม Dior จากสำนักงานใหญ่เลยนะ เพราะว่าพวกเขาเป็นกลุ่มคนที่หมกมุ่นและลงมาคลุกคลีตีโมงกับกับช่างฝีมือในทุกกระบวนการกับทุกรายละเอียดเลย ซึ่งเราก็นึกภาพไม่ออกแล้วว่าทีมจาก Dior จะทุ่มเทขนาดนี้ และอีกหนึ่งสิ่งคือเขาให้ความเชื่อใจให้ trust ในตัวศิลปินที่เขาเลือกมากๆ มันเป็นการทํางานที่มันเหมือนตีปิงปองกลับไปกลับมา ซึ่งไม่มีใครเลยจากทั้ง2ฝั่ง รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน ซึ่ง vision ของเขาเนี่ยคือ art direction มันเป็นภาพที่ค่อนข้างชัดเจนมากในทีมของเขา เวลาผสมงานของศิลปิน 7 คนเข้าไปด้วยกันมันก็แอบมีความเป็นเรื่องยากเนอะ ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นกระบวนการที่พี่ไม่เคยทํามาก่อน เพราะเพราะปกติพี่จะเป็นคนทํางานในลักษณะที่ว่า ถ้าเรนเดอร์ภาพมาแบบไหนก็คือจะไปแบบนั้นเลย จะไม่มีการทําแบบปลายเปิด แต่ว่าโปรเจคกับ Dior นี่คือเขาเปิดกว้างและตามหาไอเดียไปเรื่อยๆ ในทุกสไตล์ ทุกทิศทาง และความประทับใจอีกอย่างคือเขาให้คุณค่ากับเรื่องของงานหัตถศิลป์จริงๆ หากสังเกตดีๆ จะพบเห็นได้เลยว่าศิลปินทั้ง 7 ท่านที่เค้าเลือกมาเนี่ย มันไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะแต่มันมีเรื่องของ sustainability ด้วย มีเรื่องของความยั่งยืน เรื่องของวัสดุ เรื่องของระบบหมุนเวียน ซึ่งรู้เลยว่าคนที่เลือกศิลปินเนี่ย เขาเลือกอย่างมีแบบมีพื้นฐานแล้วก็แบบเลือกแบบมีหลักเกณฑ์จริงๆ"

อย่างไรก็ตาม แม้เมื่อผลลัพธ์ออกมาจะดีและได้รับคำชื่นชมดั่งที่คาดหวัง แต่เรื่องราวการเดินทางในครั้งนี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและความท้าทายยังคงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ "อย่างแรกเลยความท้าทายในเรื่องนี้มันอยู่ที่ว่า ความสวยในแบบฉบับของพี่กับความสวยในมุมมองของ Dior อาจไม่ได้เหมือนกันมากนัก บางทีมันก็เราก็นึกไม่ออกว่าทําไมเค้าเลือกอันนี้อะไรอย่างเงี้ย ซึ่งเราต้องใช้กระบวนการของการเชื่อใจเพราะว่ามันคือแบรนด์ที่เค้ารู้จัก เค้าคลุกคลีกับมันมานาน ทีนี้เราก็เรียนรู้เหมือนเป็นเด็กใหม่เลย แบบว่า อ๋อ ถ้าในเรื่องของวัสดุ ถ้าเป็นเราจะเลือกอะไร แต่เขาอาจไม่ได้เลือกเหมือนเรา เราก็ต้องเชื่อใจ จริงๆ สิ่งนี้อาจไม่เชิงว่าเป็นปัญหาขนาดนั้น แต่ปัญหาหลักในเรื่องนี้จริงๆ คือเรามองภาพในหัวไม่ออกว่าสิ่งที่เราต้องทำ มันต้องทำผ่านกระบวนการแบบไหน เพราะมันเป็นความรู้ใหม่ หรือแม้กระทั้งตอนที่พี่ทำเก้าอี้ที่เอาเสื่อกกจันทบุรีมาใช้ ปกติก็ไม่เคยต้องไม้เบอร์นั้นมาก่อน มันมีความรู้ใหม่เยอะแยะไปหมด รวมไปถึงระยะเวลาในการพัฒนาโปรเจคที่เซ็ตเอาไว้ที่ประมาณ 3 ปี แต่เอาเข้าจริงๆ เรามีเวลาเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ได้ทำให้เราผิดหวังเลย ก็นับว่าโชคดี"

ความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคาเฟ่หรูแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเป็นโปรเจคที่ทำร่วมกับ Dior เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังรวมไปถึงการให้ความเคารพต่อปรัชญาการทำงานที่ศรัณย์ เย็นปัญญา ยึดถือในทุกการทำงาน "เราเชื่อว่าเราคือคนที่อยู่ตรงกลางระหว่างรสนิยมที่ดีกับรสนิยมไม่ดี เราพยายามจะดูว่าอะไรที่คนมองว่า เห่ย เชย เสี่ยว หรือมันไร้ค่าอะไรแบบนี้มีความงามในมุมไหนบ้าง เราพยายามจะแบบว่ายน้ําทวนกระแสนิดนึง ว่าแบบจริงๆ สิ่งเหล่านี้มันมีค่านะ แต่พอมีอายุมากขึ้นเราก็ไม่ได้จะขบถหนักเท่าสมัยก่อน เราก็ไหลไปตามกระแสบ้าง ซึ่งโฟกัสหลักของพี่ตอนนี้จะมาสนใจเรื่องงานหัตถกรรมค่อนข้างเยอะ เพราะรู้สึกว่ามันมีประโยชน์กับชุมชน และเป็นการให้คุณค่ากับวิธีคิดของชาวบ้านอะไรอย่างงี้ด้วยในเวลาเดียวกัน"

เมื่อถามว่าหนึ่งคำนิยามถึงตัวตนของ ศรัณย์ เย็นปัญญา ‘ถูก’ กลับกลายเป็นคำที่เขามองว่าสะท้อนตัวตนของเขาได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด "ผมว่ามันคือคำว่า Cheap นะ ที่มันแปลว่าถูก จริงอยู่ที่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรที่แพงหรือว่าถูกหรอก แพงของคนหนึ่งอาจไม่ได้แพงเท่าที่อีกคนคิด แต่ที่พี่เลือกคำว่าถูก มันเป็นเพราะว่ามันหมายถึงความสนุกสนาน ควมเข้าถึงง่าย และพี่เองก็ไม่ได้เป็นคนประเภทที่ Take Myself Too Serious อยู่แล้วด้วย ใครจะด่าจะว่าพี่ก็เอาด้วย เป็นคนที่สามารถเล่นหูตัวเองได้ อะไรแบบนี้ พี่ว่าหลักการในการทำงานของพี่คือ ของที่ได้ราคาที่ไม่มีค่าที่คุณมองผ่านเนี่ยแหละ เป็นสารตั้งต้นของเรา เพราะงั้นมันเลยเป็นคำที่พี่เลือกใช้ในการนิยามตัวเอง"

RECOMMENDED READS