Cover Story: Jeff Satur ศิลปินผู้เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นในทุกจังหวะของชีวิต
Author: Phuriwat Hirunrangsee | Photographer: Somkiat Kangsdalwirun
Feb 13, 2025
"...ในวงการเพลงของประเทศไทยตอนนี้ เจฟ วรกมล ซาเตอร์ คือหนึ่งศิลปินซึ่งเป็นที่จับจ้องทั้งในเรื่องของผลงานเพลง สไตล์ที่ฉีกออกนอกกรอบ และล่าสุดกับการแสดงที่เข้าถึงแก่นแท้ของตัวละคร ไม่ว่าจะมิติไหนเขาคนนี้ได้ทำทุกหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่กว่าที่เจฟจะมายืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของยอดปิระมิดนี้ เขาได้พิสูจน์ตัวเองมานานร่วมสิบปี ในปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เขาได้ทุ่มเทให้กับการทัวร์คอนเสิร์ตซึ่งไม่ว่าจะไปที่ไหน “คุณวันเสาร์” หรือกลุ่มแฟนคลับของเจฟ ซาเตอร์ได้สร้างช่วงเวลาเหล่านี้ให้เป็นที่จดจำสำหรับเขา..."
“ผมประทับใจแฟนเพลงที่ตามไปดูในที่ต่างๆ บางทีเราไม่เคยไปที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นในต่างประเทศหรือว่าจังหวัดต่างๆ ในประเทศไทย เราตั้งใจที่จะไปทั้ง 4 ภาค เราก็จะหาเฟสติวัลไปแสดงให้ครบทั้ง 4 ภาคจริงๆ บางทีก็จําชื่อจังหวัดสลับกันบ้างเชียงใหม่เชียงรายอะไรแบบนี้ ประทับใจที่ทุกคนมาแล้วก็ร้องเพลงเราได้ก็น่าประทับใจ บางคนก็มาเพื่อรอฟังเพลงบางเพลงในลิสต์ของเราก็เออมันก็มีความสุขแล้ว เหมือนปีนี้เราก็ด้วยความที่เราไปหลายจังหวัดมากขึ้นแล้วเราก็ได้เห็นแบบแฟนเพลงหน้าใหม่หรือว่าแบบคุณวันเสาร์หน้าใหม่ๆ ในแต่ละจังหวัด มันเป็นสิ่งที่เราอยากจะเป็นนักร้องเพราะว่าเราได้เจอกันในที่ต่างๆ...คุณวันเสาร์จริงๆ แล้วมาจากนามสกุลของผม Satur แล้วแล้วเติมคําว่า day ไปก็คือคือวันเสาร์ครับ วันเสาร์เป็นวันหยุดด้วยวันเสาร์เนี่ยวันระหว่างวันศุกร์กับวันอาทิตย์ คือนอนก็ไม่ต้องรีบนอนตื่นก็ไม่ต้องรีบตื่น มันเป็นวันที่แบบสบายที่สุดในอาทิตย์แล้ว แล้วเป็นวันเกิดคุณแม่ผมด้วยคุณแม่ผมเกิดวันเสาร์เพราะฉะนั้นมันเป็นความหมายที่แบบดีมากมารวมกัน แล้วมันพิเศษมากตรงที่มันเป็นเซฟโซนสำหรับเรา เหมือนพอเราอยู่ด้วยกันมันก็เลยเกิดความสบายใจขึ้นก็เลยเป็นคําว่าคุณวันเสาร์ขึ้นมา Saturdayss มีตัวเอสสองตัวครับ ผมประทับใจทุกเหตุการณ์นะครับแต่ถ้าให้นึกย้อนกลับไปไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตในอเมริกาใต้ หรือว่าไปประเทศต่างๆ มาจบที่ประเทศไทย ในทุกคอนเสิร์ตเขาจะมีโปรเจกต์ที่เหมือนเราจะมีช่วงเวลาได้คุยกันในช่วง benefit ได้เห็นการเดินทางของเขา สิ่งที่เขาเป็นมาหรือว่าสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับเราซึ่งมันก็เป็นสิ่งเดียวกันที่เราอยากจะบอกเขาเหมือนกันว่ามีความสุขมากๆ เขาก็เองก็อยากให้เรามีความสุขมากๆ มันก็เลยกลายเป็นความประทับใจที่เราต่างคนต่างอยากให้แต่ละคนมีความสุข แต่ทุกคนก็แยกไปทําตามความฝันของตัวเองแล้วมาร้องเพลงด้วยกันในเวลาที่เราอยากจะมาเจอกัน”
นอกจากผลงานเพลงแล้วในปีนี้ เจฟยังได้รับการพูดถึงและจดจำในฐานะนักแสดงมากฝีมือ จากบทบาท “ทองคำ” ในภาพยนตร์เรื่อง “วิมานหนาม Paradise of Thorns” การแสดงที่แตกต่างไปจากตัวเขาเองอย่างสิ้นเชิง “ความท้าทายในการรับงานแสดงเรื่องนี้คือเรื่องของเวลาครับ จำได้ว่าผมมีเวลาแค่เดือนหรือสองเดือนเพื่อเตรียมตัว เพราะว่า
ทุกอย่างเขาพรีโปรดักชั่นกันไว้หมดแล้วทุกคนมาเวิร์คชอปกันไปแล้ว ผมเป็นคนเดียวที่ตามหลังเพื่อนๆ มันก็เลยต้องทําการบ้านหนักมากๆ การจะเข้าไปอยู่ในบทที่มันเข้มข้นขนาดนี้หรือเล่นเป็นคนสวนเองก็ตาม ต้องอ่านหนังสือเกี่ยวกับทุเรียน เรียนรู้วิธีการปลูก วิธีการหั่นต้น ตัดตอนกิ่งตอนไหน ไร่นึงมีที่เท่านี้ปลูกได้กี่ต้น สิ่งเหล่านี้ในภาพยนตร์อาจจะไม่ได้พูดถึง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้ว่าเรารู้จักทุเรียนได้ดีมากขึ้นเพราะฉะนั้นผมว่าความท้าทายมันอยู่ตรงนี้แหละ ในขณะเดียวกันตัวละครก็มีความเป็นเฟมินินมากขึ้นมีกลิ่นความเป็นมาสคิวลินด้วย มันมีการผสมปนเปของสิ่งต่างๆ ที่รวมกันเป็นหนึ่งคนที่ไม่ใช่เราเลย ซึ่งมันยากมากเพราะว่าการไปเป็นศิลปินนักร้องมันคือการดึงเอาความเป็นตัวเองมาให้คนอื่นดู อันนี้คือการทิ้งตัวเองให้มากที่สุดแล้วไปเป็นคนอื่น มันก็จะใช้การสื่อสารคนละอย่าง แต่ว่าวิธีการเล่าเรื่องก็คือคล้ายกันเพียงแค่เปลี่ยนฟอร์มจากการร้องเพลงเป็นการแสดงแทน...ก็รู้สึกภูมิใจนะที่ตัวเองก้าวข้ามมันมาได้ ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองสามารถแสดงได้แค่ไหน จนกระทั่งไปแสดงแล้วก็มีทีมงาน มีพี่บอสคอยไกด์และคอยกํากับเพื่อดึงศักยภาพของเราที่เราไม่คิดว่าเราจะมีตรงนั้นให้ออกมามากที่สุด ก็รู้ว่าอ๋อโอเคจริงๆ ขอบเขตมันไม่ได้อยู่ตรงนี้มันกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นมันเป็นแรงบันดาลใจให้เราเหมือนกันนะ บางทีเราคิดว่าเราทําได้แค่นี้แต่เราอาจจะทําได้มากกว่าคนอื่นก็ได้ เพียงแค่เรากล้าที่จะลองทําไปก่อน เพื่อเราจะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีอะไรรออยู่หรือเราก้าวข้ามมันไปได้แต่เราแค่ไม่กล้าครับ”
ในฐานะศิลปินที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์เนื้อร้องและทำนอง ทุกงานเพลงของเจฟจึงมีความผูกพันกับเขาไปโดยปริยาย เขายังถ่ายทอดความสามารถในการเป็นศิลปินสู่ผลงานใหม่ที่ได้ร่วมสร้างสรรค์กับทีมงานระดับสากลในเพลง “Ride or Die”
“จริงๆ ในทุกเพลงผมก็มีความผูกพันกับมันแหละ แต่ว่าถ้าเป็นเพลงที่รู้สึกว่ามันเป็นจุดกําเนิดของหลายๆ อย่างแล้ว ก็คือเพลง ”แค่เธอ” “Why don’t you stay” เป็นเพลงที่ทําให้หลายคนได้รู้จักผม แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางเหมือนเป็นการจุดประกายที่อยู่ดีๆ มันก็ทําให้หลายอย่างมันเกิดขึ้นมานฐานะนักร้อง ไม่ว่าจะเป็นในต่างประเทศหรือว่าในไทยก็ตาม จากช่วงที่เราทําอาชีพหลายอย่างมาเราเริ่มด้วยความเป็นนักแสดงจ๋ามาเลยในโปรเจกต์นี้ ซึ่งทุกคนก็หลงลืมไปว่าเอ้ยคนนี้ก็คือคนนั้นนี่หว่าที่เคยเป็นนักร้องเมื่อ 10 ปีที่แล้วหรือ 8 ปีที่แล้ว เพลงนี้มันทําให้ดึงความเป็นนักร้องตอนนั้นกลับขึ้นมาทำให้คนที่รู้จักว่าอ๋อ โอเคคือคนคนเดียวกันนะคือ เจฟ ซาเตอร์คนนั้น มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางจนมาถึงทุกวันนี้…ผมไปทําเพลงมาครับกับโปรดิวเซอร์ที่อยู่สวีเดน ทําเพลงแล้วก็เขียนเพลงออกมาซึ่งมีหลายเพลงเลยที่ไปเขียนมานะครับ มีเพลงชื่อ “Ride or Die” มันจะมีความหมายที่คล้ายกับเรื่องของ Bonnie and Klein เรื่องของนกที่มันไร้ขามันต้องบินไปเรื่อยๆ ถ้ามันหยุดมันก็จะตาย เพลงนี้มันก็จะเป็นความรู้สึกอะไรแบบนั้น ซึ่งในในพาร์ตดนตรีเองเนี่ยก็จะเป็นเพลงที่ค่อนข้างเร็ว เร็วที่สุดในเพลงที่ผมทำมาทั้งหมดเพราะว่าส่วนมากเพลงผมเป็นเพลงช้าหรือว่าเป็นจังหวะกลางๆ เพลงนี้จะเร็วที่สุดแล้วก็คิดว่าทุกคนจะโยกไปกับมันครับ”
เรื่องราวในมิวสิควีดีโอของเจฟมักซ่อนสัญลักษณ์ที่สื่อความหมายต่างๆ เอาไว้ เป็นผลของการทำงานอย่างทุ่มเทระหว่างตัวเขาและทีมงาน
“เรียกว่าเรามีแพลนด้วยกันเราก็จะมีทีมของผมที่เข้าไปช่วยกันผมจะมี creative director คุณวีวี่ช่วยดูในพาร์ทนั้นด้วยแล้วก็มีไอเดียจากผม มีไอเดียจากพี่จีนที่เราทํางานกันบ่อยๆ หรือว่าผู้กำกับแต่ละคนที่เข้ามา ผมก็จะโยนไอเดียกันเข้าไปแล้วกลั่นออกมาเป็นไอเดียที่ดีที่สุดในตอนนั้น ซึ่งแต่ละคนจะมีความเก่งในแต่ละแบบของเขา พอมันมารวมกันมันก็เลยกลายเป็นแบบสิ่งที่ผมคิดไม่ถึง ผมชอบการทำงานหลายๆ คน คิดว่ามันมีไอเดียเข้าไปแล้วกลั่นสิ่งที่ดีที่สุดออกมาเพื่อให้การเล่าเรื่องมันสมบูรณ์ที่สุดในเวลานั้น ผมชอบมิวสิควีดีโอทุกตัวเลยแต่ว่าอยากจะแนะนําให้ไปดูตัวล่าสุด “Ride or Die” ซึ่งเป็นเอ็มวีที่เป็นการถ่ายเหนื่อยที่สุดแล้วที่เคยถ่ายมา ต้องไปรอดูว่ามันเหนื่อยยังไงครับ”
ความท้าทายในการทำงานของเจฟในวันนี้ต่างจากตัวเขาในอดีตในมุมของการที่รู้จักตัวเองมากขึ้น
“ความแตกต่างของมันก็คือความชํานาญ และการรู้จักตัวเอง เมื่อก่อนเราก็จะเงอะงะนิดหนึ่งว่าเราจะหยิบอันนี้มาใช้ตรงไหนเขียนเพลงจะเริ่มยังไง เหมือนพอเราทํามาเรื่อยๆ ก็จะเริ่มรู้ว่าจะใช้เครื่องมือยังไง ใช้ตอนไหน ไม่ว่าจะเป็นในการโปรดิวซ์หรือการทําเพลงก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคือความสนุกในการทําเพลง สนุกในการเจอสิ่งต่างๆ แล้วเราเป็นคนขี้เบื่อทําอันเดิมนานๆไม่ได้ ต้องหาอะไรใหม่ๆ มาใส่เพลง หาอันโน้นอันนี้มา มันก็เลยกลายเป็นเหมือนสนุกกับการเดินทางนี้ไปด้วยโดยที่เราก็ไม่ทิ้งความเป็นเด็กในตัวเรา เพราะว่าความเป็นเด็กที่ทําให้เราครีเอตอะไรได้กว้างมากขึ้นครับ...”
การเดินทางพิสูจน์ตัวเองบนถนนสายดนตรีของเจฟ ทำให้เขาตกผลึกชุดความคิดที่อยากจะส่งต่อให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้ในเส้นทางของตัวเอง
“เราใช้ชีวิตที่ถูกกดดันโดยไม่รู้ตัวด้วยความคาดหวังของตัวเองและคนรอบข้าง เป็นเรื่องปกติไม่ว่าจะอยู่ในสายอาชีพอะไรก็ตาม แต่อยากให้รู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ได้มีอยู่จริงมันไม่ได้จับต้องได้เป็นแค่อารมณ์เฉยๆ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้เรื่องนั้นเมื่อไหร่ เราจะเป็นอิสระจากกฎที่มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ เราอาจจะก้าวข้ามผ่านอะไรไปได้ โดยที่ไม่ต้อง concern เพราะว่าเราจะกังวลว่าอันนี้มันดีพอสําหรับคนนี้หรือยัง? มันดีพอสําหรับคนนั้นหรือยัง? หรือยังไม่ดีพอสําหรับเราจนลืมไปว่าสิ่งที่ควรจะโฟกัสที่สุดก็คืองานของเรา สมมุติผมทําเพลง ผมมัวแต่คิดว่าเพลงนี้มันดีสําหรับคนกลุ่มนี้รึยัง? มันดีสําหรับคนกลุ่มนั้นรึยัง? สุดท้ายแล้วเพลงที่ดีที่สุดคือ เมื่อไหร่ที่เราฟังมันก็ตามแล้วเราชอบ แค่นั้นแหละที่สําคัญที่สุดแล้ว ความสําเร็จมันคือคํานิยามของคน แต่ว่ามันไม่จําเป็นเลยที่เราจะต้องสําเร็จ มันก็แค่ชีวิตที่เราใช้แล้วชอบ เราสนุกในการทํามันก็ทําไปเรื่อยๆ ไม่ได้คิดว่ามันสำเร็จหรือมันไม่สำเร็จ เราแค่ชอบทุ่มเทกับมันแล้วก็ทํามันออกมา ทุกคนมักไปคิดถึงปลายทางก่อนว่าเดี๋ยวรอก่อนแล้วค่อยมีความสุข แต่เรามีความสุขได้ในขั้นตอนระหว่างนั้น สมมุติมันสำเร็จขึ้นมาโอเคเราได้รางวัลแต่คนเราไม่สามารถถือถ้วยรางวัลได้ตลอดเวลา สักวันหนึ่งเราต้องวางมือลงแล้วเอ็นจอยกับความสําเร็จ เอ็นจอยกับความล้มเหลวดึงบทเรียนจากมันมาเรียนรู้ ความสําเร็จแฮปปี้แล้วก็วางมันลงแล้วก็เริ่มใหม่ มันก็เป็นอย่างนี้ในชีวิต ผมถึงบอกว่ามันไม่มีอะไรเป็นความสําเร็จและความล้มเหลวสุดท้ายแล้วมันก็จะเหลือแค่ความรู้ชอบ และความสุขที่เราได้ทํามันมากกว่า”
ความตั้งใจในปีหน้าสำหรับศิลปินไฟแรงคนนี้คือการได้สร้างสรรค์ผลงานทำสิ่งที่เขารักและหลงใหล และบางจังหวะก็หยุดใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง
“ปีนี้ (2024) มันผ่านไปเร็วมาก ผมจําได้ว่าผมเคาท์ดาวน์ปีที่แล้วและมันก็กําลังจะเคาท์ดาวน์อีกรอบ ปีหน้าก็คิดว่าอยากทํางานที่มันหลากหลายมากขึ้น ความสุขของผมคือการทํางานมันคือการออกไปทํางาน แล้วก็พักผ่อนให้มากขึ้นเอ็นจอยกับการไปเจอผู้คนให้มากขึ้น ทำความสุขให้มันเรียบง่ายขึ้นทุกวันนี้ก็เรียบง่ายแล้วนะครับ ออกไปเดินซื้อปลาหมึกย่างก็มีความสุขแล้ว หรือว่านั่งในรถก็คอยดูคนใช้ชีวิต เพราะว่าบางทีเรารู้สึกว่าชีวิตมันเร็วเกินบางทีต้อง หาจุดที่เราจะหยุดพักได้ อย่างเช่นมองข้างถนนก็จะเห็นว่าเขาต้องมีจุดหมายว่าต้องไปสักที่หนึ่ง แต่มันเป็นจุดพักของเราได้ดูคนอื่นเดินมีความสุข บั้นปลายชีวิตผมมีความฝันว่าอยากจะนั่งอยู่บนรถแล้วก็นั่งดูคนอื่นใช้ชีวิตเหมือนกัน เหมือนเป็นจุดที่เราได้พักจริงๆ ไม่ได้ต้องการจะไปไหนหรือว่าจะอยู่ที่ไหน แค่ได้นั่งพักจริงๆครับ”
#legend ของเจฟคือนักร้องระดับตำนานผู้ล่วงลับ Elvis Presley ที่ทั้งการแสดงและชีวิตของเขา ทำให้เจฟอยากดำเนินรอยตามในฐานะศิลปิน
“Elvis ครับผมได้รู้ประวัติได้เห็นการทํางานของเขา เห็นความเป็นศิลปินในตัวเขาที่มันเยอะมากๆ แต่ละอย่างมันอินสไปร์เรามาก เช่น วิธีการแสดงบนเวที ผมดูการแสดงของเขาวนไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้แค่ร้องเพลงหรือแสดงอย่างเดียว เขาใช้จิตวิญญาณในการทําโชว์นั้นออกมา เวลาที่เราเจอศิลปินคนหนึ่งที่ร้องเพลงออกมาหรือว่าสร้างงานศิลป์ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบไหนก็ตามหรือภาพวาด เราไม่จําเป็นต้องมีความรู้อะไรเลยแต่จะรู้สึกเองว่าอันนี้มันคือจิตวิญญาณที่มันส่งผ่านมา นั่นแหละสิ่งที่ต้องรักษาไว้ในฐานะศิลปิน อย่าถูกจองจําด้วยค่านิยมเพราะว่าเราเองเราทํางานในอุตสาหกรรมที่ขึ้นอยู่กับกระแส ความคาดหวัง ความกดดัน และสิ่งที่ควรจะเป็นในฐานะที่คนอื่นมองเข้ามา แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อเรา ซื่อสัตย์ต่อความเป็นตัวเราแล้วทํางานศิลป์ที่เป็นตัวเราออกมามากที่สุด นั่นคือสิ่งที่เอลวิสสอนผมจากการดูชีวิตเขา และความผิดพลาดที่เราควรจะก้าวผ่านไปไม่อยากไปซ้ำแบบเดียวกับเขาแล้วเป็นศิลปินที่สื่อสารกับผู้คนจริงๆ...อยากทำงานกับ Elvis ครับ ด้วยความที่เราคือดูสารคดีครับ แล้วเราอินกับเขาเพราะว่าผมกลับไปดูงานเก่าๆ ดูคัมแบคของเขาแล้วมันอินสไปร์มากแล้วมีการแสดงที่มันเมจิกมาก และถ้าได้ร้องเพลงกับเขาแล้วตัวเองอยู่ตรงนั้นน่าจะมีความสุขมากครับ”
Creative idea and Concept/ #Legend_th
Model/ Jeff Satur
Editor-in-chief and Fashion Director/ Asst. Prof. Rewat Chumnarn
Style/ Kontorn Hams
Photography/ Somkiat Kangsdalwirun
Hair/ Chattramongkol Klamsuk
Make-up/ Rasika Tummasil
Stylist Assistant/ Junjira Wanart