เมื่อปี 2007 คำว่า “ความยั่งยืน” แทบจะไม่อยู่ในพจนานุกรมของวงการแฟชั่นเลยด้วยซ้ำ อุตสาหกรรมยังคงหมุนวนอยู่กับรันเวย์และคอลเลกชันใหม่ๆ ในขณะที่อีกด้านเกิดมลภาวะมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำที่ปนเปื้อน ดินที่ถูกทำลาย และภูเขาขยะสิ่งทอ กลับถูกทิ้งไว้ให้อยู่นอกกรอบของสปอตไลต์ แต่สำหรับนักข่าวหญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งเดินทางไปทั่วจีนพร้อมสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยสถิติ เธอกลับพบเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้ Christina Dean เรียกมันว่า “การค้นพบกับดักข้อมูล หลักฐานเหล่านั้นคือสัญญาณเตือน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของภารกิจที่จะ redress วงการแฟชั่น เพื่อแก้ไข เยียวยา และคืนสมดุลให้กับสิ่งที่หลุดทางไปไกลเกินกว่าจะนิ่งดูดาย”

คริสตินา ดีน ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร Redress เธอก่อตั้งองค์กรนี้ด้วยความตั้งใจที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้อุตสาหกรรมหันมาเผชิญหน้ากับความจริง เราชวนคริสตินานึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เธอก่อตั้ง Redress ขึ้นมา ในวันที่แฟชั่นเพื่อความยั่งยืนยังไม่เป็นที่รู้จัก จนวันนี้มันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายบริหารระดับองค์กร และในระดับประเทศ “ตอนนั้นมันยังเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเล็กๆ ผู้คนเรียกมันว่า ‘eco fashion’ หรือ ‘green fashion’ แม้แต่นักข่าวบางคนยังเข้าใจว่าเราหมายถึงเสื้อผ้าสีเขียว มันถูกมองว่าเป็นเพียงกระแสชั่วคราว คอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนพูดถึง eco แล้วก็ผ่านไป มีเพียงกลุ่มนักสิ่งแวดล้อม หรือนักกิจกรรมที่สนใจ นักออกแบบรุ่นแรกๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่ก็เป็นนักเคลื่อนไหวมากกว่านักออกแบบจริงๆ มันเป็นสังคมที่เล็กมาก คนในอุตสาหกรรมแฟชั่นกระแสหลักก็มองข้ามพวกเรา เวทีเสวนาหลายครั้งก็ถูกหัวเราะเยาะเมื่อพูดถึงเรื่องขยะและมลพิษ แต่วันนี้สถานการณ์ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ความยั่งยืนเป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ในรายงานการประชุมผู้บริหาร และกลยุทธ์ขององค์กร circularity, sustainable sourcing และ risk management กลายเป็นศูนย์กลางของการดำเนินงาน เราก้าวเดินจากการถูกเพิกเฉย สู่การเป็นส่วนหนึ่งของวาระระดับโลก ตลอดเวลาที่ผ่านมาการสนทนานั้นเปลี่ยนไป จากการฝากความหวังไว้ที่ผู้บริโภคให้ “โหวตด้วยกระเป๋าสตางค์” ในยุคแรกมาสู่การตระหนักว่าเราต้องการกฎหมาย ผู้บริโภคไม่สามารถรับมือกับความซับซ้อนทั้งหมดได้ และแบรนด์ก็เคลื่อนไหวไม่เร็วพอ วันนี้เราจึงเรียกร้องให้มีนโยบายและกฎระเบียบมาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างจริงจัง”

Redress ชื่อขององค์กรนั้นสื่อความหมายอย่างตรงตัว เธอต้องการที่จะแก้ไขเยียวยา และคืนสมดุลให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น เธอเชื่อว่าแก่นแท้ของแฟชั่นคือความงดงาม และมันควรจะงดงามทั้งวงจรอย่างแท้จริง “เรารักชื่อนี้เพราะมันสะท้อนสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง แก่นของทุกสิ่งคือความเชื่อในสิ่งที่เราเรียกว่า พลังด้านบวกของแฟชั่น แฟชั่นนั้นน่าทึ่ง งดงาม เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และสร้างงานให้ผู้คนถึงหนึ่งในแปดของประชากรโลก มันขับเคลื่อนนวัตกรรม วัฒนธรรม อัตลักษณ์ มันคือหัวใจและจิตวิญญาณแต่ปัญหาคือขนาดของอุตสาหกรรมนี้ได้สร้างขยะและมลพิษมหาศาล สำหรับความงามที่แฟชั่นมอบให้ กลับมีหายนะ ปัญหาสังคม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมพ่วงตามมาด้วย ซึ่งมันไม่สมดุลเลย ดังนั้นเราต้องยึดมั่นในความงาม และเชื่อว่าจุดมุ่งหมายของแฟชั่นควรจะงดงามจริงๆ งานของเราคือการ redress เพื่อเยียวยาและแก้ไขสิ่งที่หลงทางไปไกล หากเราสูญเสียวิสัยทัศน์นี้ไป เราก็หมดหวัง นี่จึงเป็นเหตุผลที่เรามุ่งมั่นโฟกัสกับศักยภาพด้านบวกของแฟชั่นอยู่เสมอ”

จากการเริ่มต้นเล็กๆ Redress ได้สร้างเวทีการแข่งขันระดับโลก Redress Design Award การประกวดแฟชั่นยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งปีนี้ได้เดินทางมาครบรอบ 15 ปี แม้ว่าผู้เข้าแข่งขันทุกคนที่จะได้รางวัล แต่เธอหวังว่าการประกวดนี้จะเป็นการหยั่งรากลึกเมล็ดพันธุ์แห่งแฟชั่นความยั่งยืนให้กระจายและเติบโตต่อไป “ปีนี้พิเศษมาก เพราะเราฉลองครบรอบ 15 ปีแห่งการสร้างผลกระทบ เรามีศิษย์เก่ามากกว่า 330 คนทั่วโลก มันคือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองให้กับคอมมิวนิตี้ผู้บุกเบิกด้านแฟชั่นยั่งยืน ความกล้า และความหลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันความท้าทายก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกองขยะสิ่งทอที่เพิ่มขึ้น การรีไซเคิลที่ยังไม่เพียงพอ และความคืบหน้าเรื่อง circularity ที่ยังล่าช้า ดังนั้นธีมของปีนี้คือ Rising to the Challenge เป็นทั้งการเฉลิมฉลองและการทบทวนความจริง สำหรับผู้เข้ารอบสุดท้าย เราอยากให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ตรงจากอุตสาหกรรม ได้รับความรู้ การเสริมพลัง และการสนับสนุนเส้นทางอาชีพ และเมื่อกลับไปประเททศบ้านเกิด พวกเขาจะกลายเป็น “micro-influencers” ที่จะหยั่งรากแนวทางยั่งยืนในอุตสาหกรรมท้องถิ่นและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลง…การเป็นนักออกแบบเป็นเส้นทางที่โดดเดี่ยว คุณมีสิ่งที่อยากจะแสดงออก และเมื่อคุณต้องรับผิดชอบให้สิ่งนั้นยั่งยืนด้วย มันยิ่งเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ สิ่งที่เราหวังคือพวกเขาจะได้ความมั่นใจในการทำตามเป้าหมายของตัวเอง พวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียว มีนักออกแบบนับพันทั่วโลกที่พยายามผลักดันแนวปฏิบัติที่ดีกว่า เราอยากบอกพวกเขาว่า ไม่ว่าจะยากแค่ไหน จงเดินหน้าต่อไป”

แม้ว่าการทำธุรกิจของแบรนด์แฟชั่นเพื่อความยั่งยืนนั้น จะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างเพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ แต่เธอก็ยังคงมีความหวังว่าจะมีพื้นที่ให้กับแบรนด์เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น “ไม่ว่าเป็นธุรกิจแบบไหน การเริ่มต้นก็ยากเสมอ แต่สำหรับแบรนด์แฟชั่นยั่งยืนยิ่งยากกว่า เพราะตลาดยังเล็ก และระบบกลับเอื้อให้ผู้เล่นรายใหญ่มากกว่า รายได้กว่า 97% ของอุตสาหกรรมตกอยู่ในมือเพียง 20 กลุ่มบริษัทใหญ่ ส่วนที่เหลือทั้งอุตสาหกรรมแบ่งกันแค่ 3% ผู้บริโภคเองก็คุ้นเคยกับสินค้าราคาถูก ส่งเร็ว ทำให้ความอ่อนไหวของผู้บริโภคต่อราคาสูงมาก ดังนั้น สำหรับแบรนด์เล็กๆ พวกเขาต้องรีบสร้างฐานลูกค้าที่เชื่อมั่นในตัวตนและภารกิจของแบรนด์ให้ได้ ฉันชอบเปรียบอุตสาหกรรมนี้เหมือนเค้กก้อนใหญ่ที่มีทั้งหรูหรา ระดับกลาง ฟาสต์แฟชั่น และแบรนด์เฉพาะกลุ่ม สิ่งที่ฉันอยากเห็นคือ ชิ้นเค้กของแฟชั่นเพื่อความยั่งยืนมันใหญ่ขึ้น เพราะนักออกแบบเหล่านี้สมควรได้รับการสนับสนุน”

เมื่อถูกถามถึงภาพฝันของอนาคตแฟชั่นที่ยั่งยืน คำตอบของเธอนั้นชัดเจนและตรงไปตรงมา “จริงๆ แล้ว มันขึ้นอยู่กับวันที่คุณถามฉัน แต่ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาการรีไซเคิลสิ่งทอได้ เปลี่ยนขยะให้กลับเป็นเส้นด้ายและเสื้อผ้าใหม่ นั่นจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทุกวินาทีจะมีสิ่งทอหนึ่งรถบรรทุกถูกฝังกลบหรือเผาทิ้ง หากเรารีไซเคิลได้จริง อุตสาหกรรมก็จะใกล้เคียงความยั่งยืนมากขึ้น เราสามารถรีไซเคิลกระดาษ แก้ว และโลหะได้ แต่สิ่งทอยังเป็น ‘สัตว์ร้าย’ ที่เรายังไม่อาจเอาชนะได้ ความฝันของฉันคือการ ‘กำจัดสัตว์ร้าย’ ตัวนี้และสร้างระบบรีไซเคิลสิ่งทออย่างจริงจัง ถ้าเราทำได้ มันคงเป็นอะไรที่งดงามมากค่ะ”

เราเชื่อเหลือเกินว่าความฝันของเธอนั้นจะไม่เป็นเพียงความฝัน แต่จะเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นจริงด้วยกลุ่มคนรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมแฟชั่น และเชื่อเหลือเกินว่าจะมีนักออกแบบชาวไทยเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดัน

รางวัล Redress Design Award 2025
รางวัล Redress Design Award 2025 ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการ circular fashion ด้วยการมอบรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งให้กับดีไซเนอร์ถึงสองคนเป็นครั้งแรก Hugo Dumas จากฝรั่งเศส และ Carla Zhang จากจีน ทั้งคู่มีแนวทางการออกแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเลือกฟื้นคืนชีวิตให้ของเหลือใช้ด้วยเทคนิคตัดเย็บแบบไร้เศษผ้า zero-waste tailoring ขณะที่อีกคนถักทอสายเชือกเหลือทิ้งขึ้นมาใหม่ด้วยมือจนกลายเป็นงานศิลป์ร่วมสมัยที่สวมใส่ได้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างดีไซเนอร์ผู้มีวิสัยทัศน์และโรงงานผู้ผลิตระดับแนวหน้าอย่าง TAL Apparel ได้ก่อให้เกิดการปฏิวัติในโลกแฟชั่น จากจุดเริ่มต้นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิด กลายเป็นแรงขับเคลื่อนร่วมที่ผสานความคิดสร้างสรรค์เข้ากับนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ตั้งแต่กระบวนการผลิตที่คำนึงถึงของเสีย ไปจนถึงเทคโนโลยีสแกนร่างกายแบบ SD และการสร้างต้นแบบ virtual sampling ความร่วมมือนี้ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีการสร้างเสื้อผ้า แต่ยังได้ให้กับแฟชั่นที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง



