หากจะพูดถึงการรีเซ็ตที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากที่สุดในวงการแฟชั่นยุโรปปีนี้ ก็คงหนีไม่พ้นการปรากฏตัวของ Jack McCollough และ Lazaro Hernandez แห่ง Proenza Schouler ในฐานะครีเอทีฟไดเรกเตอร์คู่ใหม่ของ Loewe บ้านหรูจากมาดริดที่มีอายุ 179 ปี หลังจากที่พวกเขาอำลาสตูดิโอในนิวยอร์กเมื่อช่วงต้นปี “เราตื่นขึ้นทุกเช้าด้วยความตื่นเต้น และนั่นก็เพราะเรารู้สึกอิสระมากพอที่จะทำสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ” McCollough กล่าวกับ Business of Fashion ก่อนวันโชว์ไม่กี่ชั่วโมง “มันคือการได้กลับมาทำในสิ่งที่เราเรียกว่า ด้านสร้างสรรค์ของจิตวิญญาณเราอีกครั้ง”

หกเดือนที่ทั้งคู่ย้ายมาอยู่ในปารีส ถูกใช้ไปกับการขลุกตัวอยู่ในสตูดิโอออกแบบ เพื่อวางเส้นทางใหม่ให้กับแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1846 ในฐานะเวิร์กช็อปเครื่องหนังสำหรับราชสำนักสเปน แต่วันนี้ Loewe กลับมีภารกิจใหม่ ในการที่จะรักษาความล้ำสมัยของแบรนด์ที่มีพลังสร้างสรรค์มากที่สุดแบรนด์หนึ่งใน LVMH ได้อย่างไร โดยไม่สูญเสียความเฉียบแหลมด้านดีไซน์ ขณะเดียวกันก็ต้องเปิดมุมมองใหม่ทางพาณิชย์และเข้าถึงได้มากขึ้น
McCollough และ Hernandez ไม่ได้เข้ามาเพื่อโค่นสิ่งที่ Jonathan Anderson สร้างไว้ในช่วง 11 ปีที่ผ่านมา แต่พวกเขากำลัง “thread the needle” อย่างระมัดระวัง กล่าวคือยังคงรากเดิมของ Loewe ที่ยึดโยงกับความเป็นสเปนและงานฝีมือคุณภาพสูง แต่พาแบรนด์ออกจากโลกของคอนเซ็ปชวลอาร์ต สู่พื้นที่ที่สวมใส่ได้จริง “Spain มีความร้อนแบบนี้ มีแสงแดดแบบนี้ และมีความดุเดือดแบบนี้” McCollough กล่าว “มันคือพลังงาน มันคือความมีชีวิตชีวา และเราต้องการให้มันซึมอยู่ในทุกลุคที่เราออกแบบ”
กลิ่นอายของความเป็นสเปนนั้นเริ่มตั้งแต่หน้าทางเข้าโชว์ ด้วยผลงานศิลปะของ Ellsworth Kelly ชื่อ Yellow Panel with Red Curve ที่ยืมมาจากเพื่อนนักสะสมถูกติดตั้งไว้กลางแสงสว่าง สีเหลืองและแดงของมันกลายเป็นโทนสีหลักของคอลเล็กชัน เหมือนภาพธงชาติสเปนที่ถูกตีความใหม่ให้ร้อนแรงและมีชีวิต “เราต้องการความรู้สึกของ heat, ของ sensuality, ของผิวหนัง, ของร่างกาย” Hernandez กล่าว “มันคืออิสรภาพของการแสดงออก มันคืออารมณ์ที่เร่าร้อนและรุนแรง”

สิ่งที่ตามมาบนรันเวย์คือ Loewe ที่เปลี่ยนโฉมอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงจิตวิญญาณของแบรนด์ไว้อย่างแนบเนียน เส้นสายประติมากรรมอันเป็นซิกเนเจอร์ในยุค Anderson ถูกทำให้ “นุ่มนวลและใส่ง่ายขึ้น” หนังถูกทำให้บางลง เงางามขึ้น และโอบรับสรีระมากกว่าเดิม ผ่านเทคนิค ultra-thin skived leather และ thermal bonded seam ผลลัพธ์คือเสื้อแจ็กเก็ตหนังที่เคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิต ราวกับประติมากรรมที่หายใจ
“เราไม่ใช่คนที่เล่นกับไหมพรม เราไม่ใช่คนที่เล่นกับเซรามิก นั่นคือลายมือของ Jonathan และเขาเก่งมาก แต่นั่นไม่ใช่เรา” Hernandez อธิบายอย่างตรงไปตรงมา “เราต้องนำรหัสของ Loewe มาแปลด้วยภาษาของเราเอง เราอยากให้คนเดินออกจากโชว์แล้วพูดว่า ‘โอ้พระเจ้า มันคือ Jack และ Lazaro ชัด ๆ’ แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่า ‘แต่นั่นมันก็ยังคือ Loewe อยู่ดี’”

เสื้อผ้าที่ปรากฏในโชว์มีตั้งแต่กางเกงยีนส์ขาตรงที่ทำจากหนังฉีกละเอียดจนดูเหมือนเกล็ดมังกรแต่เบาราวขนนก เสื้อเชิ้ตที่ตัดเย็บจากหนังแล้วพ่นสีให้ดูเหมือนผ้าฝ้าย เสื้อยืดที่ผลิตด้วยเทคนิคหนังถักแทรกลวดเพื่อสร้างรอยยับถาวร ไปจนถึงเดรสผ้าเทอร์รีคล้ายผ้าขนหนูที่สร้างด้วย 3D พรินต์ ทำให้พื้นผิวดูเหมือนกำมะหยี่ “เรามีความเป็นอเมริกันอยู่ในตัว เราไม่สามารถซ่อนมันได้” McCollough พูดย้ำ “มันคือความรู้สึกในเรื่องของการแต่งตัวที่เราเติบโตมากับมัน และเราอยากให้สิ่งนั้นคงอยู่ใน Loewe ด้วย”
นั่นคือเหตุผลที่คอลเล็กชันนี้มีโครงสร้างสปอร์ตและพลังของเสื้อผ้า “จริง” มากขึ้น มีทั้งแจ็กเก็ตที่ดูเหมือนชุดดำน้ำ เสื้อไหมพรมคอวีแบบพรีปปี้ที่ถูกขยำให้เบี้ยวอย่างตั้งใจ เสื้อเชิ้ตลายทางซ้อนกันหลายชั้นแบบที่ดูพร้อมใส่ไปทำงานพอ ๆ กับไปชายหาด ความรู้สึกแบบ New York sportif ถูกหลอมรวมเข้ากับอุณหภูมิแบบ Madrid heat อย่างมีชั้นเชิง

ในขณะเดียวกัน Loewe ภายใต้ McCollough และ Hernandez ก็ยังตระหนักดีว่า หัวใจของแบรนด์อยู่ที่ “กระเป๋า” พวกเขานำเสนอ Amazona แบบหูเดียว ที่เปิดออกได้เหมือนประตู Lamborghini, bucket bag ที่ปักเปลือกหอยหนังแบบหมู่เกาะบาเลอาริก และ กระเป๋าหนังกลับทรงเหลี่ยมขนาดใส่แล็ปท็อป ที่หลายคนพูดถึงว่าอาจเป็นการย้อนเคารพให้กับ PS1 กระเป๋าใบแรกที่พา Proenza Schouler สู่ชื่อเสียงระดับโลก
รายละเอียดเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการออกแบบเชิงศิลป์ แต่เป็นสัญญาณของทิศทางธุรกิจที่เฉียบแหลม Loewe ต้องการขยายฐานลูกค้าจากผู้สะสมงานดีไซน์ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความหรูหราที่ใช้งานได้จริง การกลับมาของกระเป๋าทรงใหญ่และการใช้หนังในเสื้อผ้าทั้งคอลเล็กชันสะท้อนความตั้งใจจะเสริมรายได้ฝั่ง ready-to-wear ให้ขึ้นมาเทียบชั้นกับหมวดกระเป๋าที่สร้างกำไรมากที่สุดของแบรนด์
ในเชิงภาพลักษณ์ การเปลี่ยนผ่านจาก “ความคิดแบบงานเชิงศิลป์” ของ Anderson มาสู่ “ความรู้สึกแบบงานเชิงอารมณ์” ของ Jack & Laz ถือเป็นการรีเซ็ตที่ชาญฉลาด LVMH ต้องการให้ Loewe เติบโตเป็นแบรนด์ระดับท็อปในพอร์ตเดียวกับ Dior และ Celine และตอนนี้แบรนด์ก็กำลังเคลื่อนไปในทิศทางนั้น โดยใช้พลังของคู่นักออกแบบจากนิวยอร์กเพื่อปลุกความร่วมสมัยในแบรนด์ที่มีอายุเกือบสองศตวรรษให้กลับมามีชีพจรอีกครั้ง

ก่อนวันโชว์เพียงไม่กี่วัน ทั้งคู่พูดถึงความรู้สึกในฐานะผู้มาทำงานในเมืองใหม่อย่างเรียบง่ายแต่ซื่อตรง “มันสนุกมาก เราไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันคือการได้ปล่อยของข้างในออกมาอย่างอิสระ ไม่มีข้อจำกัด แค่ได้เล่นและได้ทดลอง เรามีความสุขมากจริง ๆ และผมคิดว่ามันแสดงออกมาในงาน” Hernandez กล่าว
Loewe SS26 คือผลลัพธ์ของความสุขนั้น มันคือความสุขที่อบอุ่นเหมือนแสงแดดมาดริด และซื่อตรงเหมือนอากาศริมทะเลนิวยอร์ก มันคือคอลเล็กชันที่ทำให้เรารู้ว่า “ความหรูหรา” ไม่จำเป็นต้องเยือกเย็นชาเสมอไป มันสามารถมีเหงื่อ มีแสง และมีชีวิตได้เช่นกัน
นี่คือ Loewe ที่กลับมามีพลังอีกครั้ง แต่ไม่ใช่เพราะมันเปลี่ยนแปลงไปทุกอย่าง แต่เพราะมันมีลมหายใจในแบบของตัวเอง และในปีที่แฟชั่นฝั่งยุโรปต่างพยายาม “ทำให้ความรู้สึกกลายเป็นแนวคิด” Loewe กลับเลือกจะ “ทำให้แนวคิดกลายเป็นความรู้สึก” นั่นคือจุดที่ความร้อน ความอิสระ และความชัดเจนทางอารมณ์มาบรรจบกัน และนั่นเองคือ Loewe ประจำฤดูร้อน 2026
