“…Your Secret Labyrinth…”

ปารีสกลางคืนยังคงเป็นเวทีที่ Yves Saint Laurent เคยครองมาเนิ่นนาน และค่ำคืนนั้น Anthony Vaccarello เลือกพาผู้ชมกลับไปสัมผัสกลิ่นอายแบบดั้งเดิมแต่พลิกให้ร่วมสมัยอีกครั้ง สวนฝรั่งเศสที่ Trocadéro ถูกเนรมิตด้วยกำแพงไฮเดรนเยียสีขาวนับพันต้น ที่ตอนแรกดูเพียงเป็นฉากโรแมนติกสำหรับรันเวย์ แต่เมื่อโดรนบินขึ้นไปเหนือหัว ทุกคนจึงได้เห็นภาพจากหน้าจอโทรศัพท์ว่าแท้จริงแล้วดอกไม้เหล่านั้นสะกดเป็นคำว่า “YSL” งาน PR ที่ทั้งสวยงามและฉลาดเล่นกับมุมมอง บอกเราว่าที่นี่คือ Saint Laurent อย่างไม่มีข้อกังขา “ผมคิดว่ามันสำคัญที่จะย้ำเตือนให้ชัดว่า โอ ลา ลา คุณอยู่ที่ Saint Laurent และคุณจะจากไปพร้อมความรู้สึกว่าคุณไม่มีทางอยู่ที่อื่นได้” Vaccarello กล่าวหลังเวที มานิต มณีพันธกุล @kaimanit รายงาน

แขกแถวหน้าก็ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนมรดกของแบรนด์เช่นกัน ตั้งแต่ Hailey Bieber, Zoë Kravitz ไปจนถึง Madonna และลูกสาว Lourdes แถมยังมี Jean-Paul Gaultier และ Catherine Deneuve เคียงข้าง Betty Catroux มิวส์คนสำคัญของ Yves เอง รวมถึงรุ่นใหม่ฝั่งเอเชียอย่าง Rosé, จุง อาเซน และเอมี่ ทสร การปรากฏตัวของคนเหล่านี้ทำให้ค่ำคืนนั้นกลายเป็นทั้งการรำลึกอดีตและการประกาศว่ามรดก YSL ยังหายใจอยู่ในปัจจุบัน

สิ่งที่ Vaccarello เลือกเล่าในคอลเล็กชั่นนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามท่อนแต่เชื่อมโยงกันอย่างมีชั้นเชิง เขาเริ่มด้วย black leather ที่เป็นเหมือนเกราะอำนาจ เสื้อแจ็กเก็ตไหล่กว้าง กระโปรงดินสอ และเสื้อ pussy-bow blouse สีขาวที่ถูกขยายขนาดจนแทบจะขบถต่อความสุภาพดั้งเดิม บางชุดมาพร้อมหมวกหนังทรงทหารที่ทำให้ผู้ชมอดคิดถึงภาพถ่ายของ Helmut Newton และงานศิลป์ของ Robert Mapplethorpe ไม่ได้ “ผมอยากเริ่มด้วยความคิดเรื่องการ cruising ในฉากเกย์ของสวน Tuileries” เขาบอก “และอยากนำมันกลับมาสร้างใหม่ตรงนี้ ที่ Trocadéro ให้ผู้หญิงในหนังเดินวนรอบ YSL ขนาดมหึมา” มันคือการเปิดโชว์ด้วยความเข้มแข็ง และชัดว่าการยั่วยุยังคงเป็นรากของแบรนด์นี้

ถัดมาคือช่วงของ nylon ที่ Vaccarello ตั้งใจเล่นกับการเปลือยแบบร่วมสมัย เสื้อ trench coat และเดรสกลางวันแบบคลาสสิกของ YSL ถูกแปลงให้เป็นผ้าไนลอนบางเฉียบที่แทบจะไม่เหลืออะไรอยู่ข้างใน “ใช่ มันยังคงเกี่ยวกับความเปลือย” เขาตอบนักข่าวด้วยการยักไหล่เล็กน้อย ก่อนจะต่อด้วยชุด evening gowns ที่ฟูฟ่องราวกับตัดมาจากอดีต Belle Époque แต่แท้จริงกลับทำจากไนลอน จนผู้สวมใส่สามารถขยำพับเก็บใส่เป้ได้ เหมือนแจ็กเก็ตลมราคาย่อมเยา นี่คือ deliberate illusion การทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของ couture เพื่อบอกว่าความหรูหราก็อาจเป็นของที่ใช้จริงและเดินทางไปกับเราได้

บทสุดท้ายคือ historical gowns ที่พาเรากลับไปสู่ Yves ยุค haute couture แต่ถูก Vaccarello ทำให้ผิดเพี้ยนจนกลายเป็นบทสนทนาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เดรสยาวรuffles พองแขนพองไหล่ โบสีขาวมหึมา ถูกนำเสนอในรูปแบบที่ชวนให้นึกถึงทั้ง Scarlett O’Hara และงานโชว์ haute couture landmark ของ Yves เอง แต่ทั้งหมดนั้นทำจากไนลอนบางใส Vaccarello เล่าอย่างติดตลกว่า “ผู้หญิงของผมสามารถขยำชุดราตรีแล้วโยนใส่กระเป๋าเป้ได้ แต่เธอยังเป็นคนเดิมนะ เธอไม่อ่อนหวานเท่าไหร่หรอก ถึงจะดูอ่อนก็แค่ภาพลวงตา”

หากมองให้ลึกกว่าภาพการแสดง จะพบ subtext ที่ Vaccarello แอบซ่อนไว้ เขารู้ดีว่านี่คือโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทายทางการเมืองและสังคม แต่แฟชั่นกลับถูกวิจารณ์ว่าเพิกเฉยต่อทุกอย่าง “ในเวลาที่บทสนทนากำลังหายไป สไตล์ก็กลายเป็นภาษาหนึ่งของการสื่อสาร… ภาษาของการต่อต้าน ความเคารพ และการรวมเข้าด้วยกัน” เขาใส่ไว้ในโชว์โน้ต แต่คำถามคือสิ่งนี้เป็นการต่อต้านจริง ๆ หรือเป็นเพียง Trojan horse ที่ห่อหุ้มด้วยภาพลักษณ์ของ leather, cruising และความลุ่มหลงแบบเดิม?

แรงบันดาลใจที่ Vaccarello อ้างถึงก็ยิ่งเสริมความซับซ้อน เขายอมรับว่าได้แรงจากหนังโปรด “La Reine Margot” ที่เต็มไปด้วย extravagant nihilism และบอกว่านั่นคือบรรยากาศที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ที่โกลาหลในปัจจุบัน “ผมอยากยั่วให้เกิดการถกเถียง” เขาพูดตรง ๆ ก่อนโชว์เริ่ม และการถกเถียงก็เกิดขึ้นจริงเมื่อมีทั้งนักวิจารณ์ที่มองว่านี่คือการชุบชีวิต YSL อย่างแหลมคม และบางคนที่ตั้งคำถามว่านี่คือการทำให้มรดก couture ถูกทำลายลงด้วยไนลอนราคาถูกหรือเปล่า

แต่ในโลกแห่งความหรูหราที่ attention คือ currency คำตอบอาจชัดเจนอยู่แล้ว ภาพดอกไฮเดรนเยียที่สะกดเป็น YSL ใต้เงาหอไอเฟลถูกแชร์นับล้านครั้ง ภาพ Madonna และ Zoë Kravitz นั่งข้างกันกลายเป็น meme-worthy moment และชุดหนังไหล่กว้างก็พร้อมจะลงร้าน Saint Laurent ทั่วโลกได้ทันทีในซีซั่นหน้า ขณะที่ nylon gowns ถูกจับตาว่าจะดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่อยากได้ “couture effect” ในรูปแบบที่เดินทางได้ง่ายหรือไม่

บางทีนี่อาจเป็นบทพิสูจน์ว่า Vaccarello รู้จักเล่นกับทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อมกัน ในขณะที่นักวิจารณ์ยังคงถามหาความหมายเชิงการเมือง เขากลับทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มและคำสั้น ๆ ที่หนักแน่นที่สุด
“C’est Saint Laurent.”