“…นับเป็นอีกหนึ่งข่าวที่น่ายินดีสำหรับแวดวงนาฬิกาในประเทศไทย เมื่อกรุงเทพมหานครได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพของงานเปิดตัวและนิทรรศการระดับสากลอย่าง Mido Prime-Time Event 2025 งานสำคัญของแบรนด์นาฬิกาสวิสผู้มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา Mido ถือเป็นแบรนด์เรือนเวลาที่มีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศไทย ทั้งในฐานะตลาดและแหล่งแรงบันดาลใจที่สำคัญอย่างมีนัยยะ…”
และในโอกาสพิเศษเช่นนี้ #Legend_th มีโอกาสนั่งสนทนากับคุณ Franz Linder CEO ของ Mido เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับวิสัยทัศน์อันอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ ความสำคัญของประเทศไทยต่อแบรนด์ และอนาคตของ Mido ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

#legend_th: MIDO Prime-Time Event 2025 เป็นช่วงเวลาสำคัญของแบรนด์ คุณช่วยเล่าถึงแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่นำมาสู่งานในครั้งนี้หน่อยจะได้ไหม?
FL: แท้จริงแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรามาเยือนกรุงเทพมหานครครับ เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดดั้งเดิมที่สุดของ Mido แบรนด์ของเราอยู่อาศัยร่วมกับที่นี่มาเกือบหนึ่งร้อยปีแล้ว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าชาวไทย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราตัดสินใจเฉลิมฉลองช่วงเวลาสำคัญนี้ในตลาดที่ทั้งซื่อสัตย์และให้ความเคารพอย่างสูงกับความสัมพันธ์ของเราเสมอมา

#legend_th: ประเทศไทยมีความหมายต่อ Mido อย่างไร ทั้งในแง่อารมณ์และเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจ?
FL: อย่างที่ผมบอกไป เรามีความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับตลอดนี้และประเทศนี้ แน่นอนว่าเราชื่นชอบประเทศไทย เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วโลก ชาวไทยมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ และในเชิงธุรกิจ ประเทศไทยไม่เพียงเป็นตลาดดั้งเดิม แต่ยังเป็นตลาดสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา เพราะสำหรับ Mido แล้ว ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่เรามีส่วนแบ่งยอดขายสูงที่สุดแห่งหนึ่งเลยนะครับ
#legend_th: แล้วอะไรคือแรงบันดาลใจในการกำหนดช่วงเวลาและคอนเซปต์ในการเยือนกรุงเทพในครั้งนี้?
FL: ต้องบอกว่า การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยทันที เราจะเตรียมงานล่วงหน้าเป็นระยะเวลาหลายปี และโดยปกติการพัฒนานาฬิกาแต่ละรุ่นจะใช้เวลาอยู่ที่ระหว่างหนึ่งถึงสองปี เมื่อกำหนดไทม์ไลน์แล้ว เราจึงตัดสินใจว่าจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไหนและเมื่อใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสื่อมวลชนและตลาด ครั้งนี้ช่วงเวลาที่เหมาะสมมาลงตัวกับต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งตรงกับการเปิดตัวพอดีครับ

#legend_th: การจัดงานแบบนี้ที่กรุงเทพช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับนักสะสมหรือชุมชนท้องถิ่นบ้างไหม?
FL: การสร้างการรับรู้และการจัดจำหน่ายเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ของแบรนด์กับนักสะสมและผู้บริโภคชาวไทย และ Mido เองก็ได้รับความนิยมในประเทศไทยอยู่แล้ว เรามีนาฬิกาจำหน่ายอย่างกว้างขวางในห้างสรรพสินค้าหลายแห่งทั่วประเทศ แต่สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือบทบาทของสื่อครับ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ ออนไลน์ ไปจนถึงสื่อโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยสื่อสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรา ต้องขอบคุณมากจริงๆ ครับ
#legend_th: ช่วยเล่าถึงนาฬิกาใหม่ที่เปิดตัวในงานนี้หน่อยได้ไหมครับ ว่าสะท้อนถึงมรดกของ Mido พร้อมกับตอบโจทย์เทรนด์สมัยใหม่อย่างไรบ้าง?
FL: ภายใต้แบรนด์ Mido เราจะมีการแตกแขนงไปสู่คอลเลกชันหลักอยู่ 5 ซีรีส์ โดยซีรีส์ระดับสูงสุดจะได้รับการรับรอง COSC เราจะพัฒนาในส่วนของสิ่งที่เรียกว่า ‘small complications’ เช่น Big Date, Power Reserve หรือ Chronograph สำหรับพวกเราแล้วนี่คือการต่อยอดที่พัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติ โดยนำ Multifort รุ่นยอดนิยมมาปรับเป็น Chronograph สไตล์สปอร์ต ซึ่งเราเชื่อว่าการออกแบบนี้จะได้รับความชื่นชอบจากนักสะสมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกแน่นอนครับ

#legend_th: หลังจากความสำเร็จของงานที่กรุงเทพมหานคร แผนต่อไปของ Mido ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเป็นอย่างไร?
FL: งานที่เราจัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานครยังเป็นแพลตฟอร์มสำหรับพันธมิตรในภูมิภาค การเปิดตัวครั้งนี้เราได้เชิญตัวแทนจากทุกตลาดในเอเชียที่เราดำเนินกิจการมาเข้าร่วม แทนที่จะจัดงานแยกในแต่ละประเทศ เราเลือกที่จะคัดเลือกเมืองใดเมืองหนึ่งและรวมทุกคนเข้าด้วยกัน ทำให้กลายเป็นการเฉลิมฉลองระดับภูมิภาค และแน่นอนว่าสำหรับการนี้กรุงเทพมหานครคือเวทีที่สมบูรณ์แบบ
#legend_th: ในฐานะซีอีโอ คุณนิยามความสำเร็จของ Mido ในตลาดที่แข่งขันสูงเช่นปัจจุบันอย่างไร?
FL: Mido เป็นที่รู้จักในฐานะนาฬิกาคุณภาพสูงซึ่งสะท้อนถึงการผลิตนาฬิกาสวิสชั้นดีที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เราไม่ได้มุ่งหวังจะเป็นแบรนด์ลักซ์ชัวรีสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม แต่เราต้องการให้ผู้คนจำนวนมากสามารถเพลิดเพลินกับนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์ แข็งแรง และสะท้อนงานฝีมือแบบฉบับสวิสขนานแท้ได้ และนั่นคือความสำเร็จในฐานะแบรนด์นาฬิกาของ Mido

#legend_th: หากมองย้อนกลับไป การตัดสินใจที่ยากที่สุดในฐานะ CEO ของคุณคืออะไร และคุณได้เรียนรู้อะไรจากมัน?
FL: หลังจากทำงานกับ Mido มากว่า 30 ปี ผมไม่สามารถระบุเลยได้ว่าอะไรคือการตัดสินใจใดที่ยากที่สุด เพราะผมได้ผ่านรอบการขึ้นลงทางเศรษฐกิจมาแล้วมากมาย แม้กระทั่งวิกฤตเศรษฐกิจเอเชียปี 1996–97 ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก คำสอนจากประสบการณ์หลักของผมคือ แบรนด์ต้องยึดมั่นใน DNA และคุณค่าของตัวเอง และไม่ควรตามโอกาสหรือกระแสระยะสั้น เพราะความสม่ำเสมอ คุณภาพ และเอกลักษณ์ คือสิ่งที่ช่วยให้ Mido ผ่านพ้นทุกช่วงเวลามาได้